วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2560

จดหมายจากข่าว "เรื่องเล่าเล็กๆ"


                          หลายวันมานี้ มีข่าวที่โด่งดังที่สุดในประเทศ และผู้เขียนเชื่อว่า ข่าวนี้ก็โด่งดังในต่างประเทศเช่นกัน หลังจากนั่งเสพข่าวในหลายๆ ทาง จนเบื่อ ผู้เขียนจึงไป Search หาในอากู๋  Google ว่าฆาตรกรคนใดที่เป็นต้นฉบับของการฆ่าหั่นศพในโลกนี้ ผู้เขียนจึงได้ทราบว่า คดีที่มีเหตุฆ่าหั่นศพครั้งแรกในโลกเกิดขึ้นที่รัฐคิงส์แลนด์ ประเทศอังกฤษ ซึ่งผู้ที่เป็นตัวการคือ มิสซิสแคทเธอรีน เฮย์  ซึ่งเป็นภรรยาของเหยื่อผู้ถูกฆ่าแล้วหั่นศพ จากการอ่านและพิจารณาปูมหลังของผู้กระทำความผิดแล้ว ผู้เขียนแอบคิดว่า ระหว่างผู้กระทำความผิดลักษณะนี้คนแรกของโลก กับผู้กระทำความผิดที่เป็นผู้หญิงลักษณะนี้คนแรกในประเทศไทย แทบจะไม่แตกต่างกัน เพียงแต่ต่างกันในกาลเวลาเท่านั้น

                  ในขณะที่ผู้เขียน เขียนบทความเรื่องนี้ หูก็ได้ยินเสียงรายงานข่าวจากสถานี โทรทัศน์เกี่ยวกับคดี ฆ่าหั่นศพที่ผู้ต้องหาเป็นสาวสวยตลอดเวลา ไม่ว่าจะเปลี่ยนช่องสถานีไปช่องใด  ทุกๆ เพจข่าว แม้แต่ในสื่อ Social Media ก็เสนอข่าวทุกแง่มุม ซึ่งอาจเป็นประโยชน์แก่ประชาชนทั่วไปที่สามารถเข้าถึงได้โดยง่าย และรวดเร็ว ผู้เขียนมิได้ต่อต้านการนำเสนอความคิดเห็นของประชาชนที่มีสิทธิและเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่างๆ แต่สิ่งที่ผู้เขียนแอบเป็นกังวลคือสื่อ การนำเสนอทุกแง่มุมในชีวิตจนมากเกินไป และไม่เกี่ยวข้องกับคดีความ  โดยเฉพาะเมื่อผู้เสนอข่าว เสนอว่าผู้ต้องหาหญิงผู้นั้น มีบุตรชาย อายุประมาณ ๗-๘ ปี ที่มีกับสามีเก่า ผู้เขียนอาจคิดเกินกว่าเหตุ แต่ด้วยการทำงานที่ผู้เขียนต้องคลุกคลีกับเด็ก จึงกังวลเรื่องการนำเสนอข่าวของสื่อที่ไม่คำนึงถึงผลกระทบของคนที่อยู่รอบข้างของผู้ต้องหามากกว่า โดยเฉพาะผู้ที่เป็นบุตรชายของผู้ต้องหา วันนี้ผู้เขียนจึงอยากเขียนความคิดของผู้เขียนเองในเรื่องของเด็กที่เป็นบุตรของผู้ต้องหามากกว่า ขออนุญาตไม่เขียนเรื่องกฎหมายซักครั้งหนึ่งนะคะ

                  สิ่งที่ผู้เขียนอยากสื่อตอนนี้คือ  ภาพจิตใจและความคิดของเด็ก ข่าวที่โด่งดัง (เหมือนจะทั่วโลก)ในเรื่องของแม่ตัวเองนั้น เด็กจะรู้สึกเช่นไร เด็กอายุ ๗-๘ ปี สมัยปัจจุบันนี้เราต้องยอมรับความจริงว่า เค้าเข้าถึงโลก Social มากกว่าเรา และสามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลา ยิ่งสื่อขุดคุ้ยแม่เค้าที่เป็นผู้ต้องหามากเท่าไหร่ ยิ่งมีผลกระทบต่อตัวเด็กมากเท่านั้น ความเชื่อมั่นในตัวของเด็กจะหมดสิ้นไป พ่อติดคุกคดียาเสพติด แม่ต้องหาว่าฆ่าแล้วหั่นศพ คลื่นชีวิตของผู้เป็นพ่อและแม่กำลังซัดกระทบเข้าหาผู้ที่เป็นลูก โดยที่ไม่มีสื่อสำนักใดตระหนักถึงความจริงในข้อนี้ ทุกๆ คนต้องการนำเสนอข่าวด้วยความรวดเร็ว (เป็นธรรมหรือไม่ ???) อนาคตของเด็กคนหนึ่งต่อไปจะเป็นอย่างไร คงไม่มีใครสนใจ ทุกคนสนใจแค่มีข่าว ขายข่าว เสพข่าว และแสดงความคิดเห็น แต่ผู้เขียนกลับมองข้ามผู้ต้องหาสาวคนนี้ไป เพราะสำหรับผู้ต้องหาคนนี้แล้วแทบไม่เหลืออะไรให้เป็ความหวังสำหรับตนเองหรือใครอีก แต่ผู้เขียนมองไปถึงเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ คนนั้น คนที่พวกเรากำลังทำลายชีวิตเขาโดยไม่รู้ตัว อนาคตเขาอีกกี่ปีกว่าที่เขาจะเติบโต เขาจะฝ่าฟันมรสุมที่ติดไว้ในใจ เสมือนตราบาปที่เขาไม่ได้กระทำไปได้นานแค่ไหน และเราจะรู้มั้ยว่า เขาจะเข้มแข็งพอจนฝ่าฟันความจริงเรื่องนี้ไปเป็นคนดีในสังคมได้ สิ่งที่ผู้เขียนตระหนักในใจตอนนี้คือ เด็กคนหนึ่งซึ่งเกิดมาโดยไม่มีความผิดอะไร กำลังจะถูกผลักลงไปในความทรงจำที่โหดร้ายโดยที่เขาไม่ได้กระทำ ทุกๆ ข่าว ทุกๆไลพ์ ที่หลายๆ คนในโลก Social ขุดคุ้ยบันทึกไว้ ความเลวร้ายที่ผู้เป็นแม่ได้กระทำลงไปมันจะตามมาหลอกหลอนเขาตลอดเวลา และตลอดชีวิตเขา  สิ่งเหล่านี้จะปลุกฝังความเกลียดชังต่อสังคมให้กับเขาในอนาคต และอาจทำให้เขาเป็นเด็กที่เติบโตมาท่ามกลางความรู้สึกต่อต้านสังคม ซึ่งในความเป็นจริงคนที่ทำความผิดต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตนทำ มันเป็นธรรมดาของโลก แต่คนที่ไม่ได้ทำความผิดทำไมจึงต้องมารับผลในการกระทำนั้น คนคนหนึ่งกว่าจะเกิดและเติบโตมาเป็นพลเมืองที่ดี ใช้เวลายาวนานเกือบชั่วชีวิตของตน แต่บางครั้งกับบางคนเขาไม่มีโอกาสได้ใช้ เพราะโอกาสนั้นมันถูกทำลายไปเสียจนหมดสิ้นตั้งแต่ยังอ่อนเดียงสา ในความเป็นจริงในสังคมปัจจุบันนี้ คนเราเห็นแก่ตัวมากขึ้น สิ่งที่สำคัญสุดคือ ทัศนคติ หากเราทุกคนในโลกนี้คิดว่า การเป็นฆาตรกร อยู่ในสายเลือด และทุกคนในครอบครัวมีสัญชาตญานของฆาตรกร ฆาตรกรก็ย่อมเป็นฆาตรกรอยู่วันยังค่ำ ในเมื่อโลกนี้คงไม่มีคำว่า การให้  "โอกาส"

ท้ายที่สุดของบทความขี้บ่นนี้ ผู้เขียนอยากบอกว่า เด็ก คือ ความบริสุทธิ์ ที่เค้าได้เกิดมา ทุกอย่างที่เค้าจะเป็น หรือเป็น ล้วนเกิดจากน้ำมือของพ่อ แม่ ผู้ปกครอง และสภาพแวดล้อมทั้งสิ้น เราล่ะจะเลือกให้เค้าเป็นอะไร "โอกาส" ของคนเรามีอยู่ทุกที่รอบตัวเรา เราจะมองเห็นและไขว่คว้า หรือหยิบยื่นให้ใครก็แล้วแต่ใจของเราที่จะเลือก


ด้วยจิตรคารวะ


By กานต์ 

ไม่มีความคิดเห็น:

มุมมองทิเบตในสายตาของข้าพเจ้า

  ตอนที่ ๑           บทความวันนี้ข้าพจ้ามีความตั้งใจขอเสนอเรื่องราวของชาวทิเบต หลายท่านที่เคยติดตามข้าพเจ้ามาก่อนหน้านี้ จะทราบว่าข้าพเจ้ามี...