"ทรัพย์" ตอนที่ ๒ "ทรัพย์แบ่งได้และทรัพย์แบ่งไม่ได้"
เรื่องทรัพย์ในตอนที่ ๑ ผู้เขียนได้เขียนเรื่องของ
"อสังหาริมทรัพย์" ไปแล้ว และก่อนหน้านั้นก็ได้เขียนเรื่องการได้อสังหาริมทรัพย์
โดยการครอบครอบปรปักษ์ไปแล้วเช่นกัน แต่ผู้เขียนยังไม่เคยอธิบายเรื่องของ
"ทรัพย์" มาก่อน วันนี้เลยอยากจะเขียนเรื่อง "ทรัพย์"
มาให้อ่านกัน ซึ่ง "ทรัพย์" นั้น แบ่งได้เป็น ๒ ชนิดคือ
๑. "ทรัพย์แบ่งได้" หมายความว่า
ทรัพย์อันอาจแยกออกจากกันเป็นส่วนๆ ได้จริงถนัดชัดแจ้ง
แต่ละส่วนได้รูปบริบูรณ์ลำพังตัวทรัพย์แบ่งไม่ได้ ทรัพย์แบ่งได้
มีองค์ประกอบดังนี้
(๑)
ต้องเป็นทรัพย์ที่สามารถแยกออกจากกันได้
(๒)
เมื่อแยกออกจากกันได้แล้วไม่เสียสภาพรูปทรงไป
๒."ทรัพย์แบ่งไม่ได้" หมายความว่า ทรัพย์อันจะแยกออกจากกันไม่ได้ นอกจากเปลี่ยนแปลงสภาวะของทรัพย์
และหมายความถึงทรัพย์ที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นทรัพย์ที่แบ่งแยกไม่ได้ด้วย ทรัพย์แบ่งไม่ได้
มีความหมาย ๒ คือ
(๑)
ทรัพย์แบ่งไม่ได้โดยสภาพ
(๒) ทรัพย์ที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่าแบ่งไม่ได้
ทรัพย์บางอย่างที่ถือว่าเป็นทรัพย์
และเป็นทรัพย์ที่แบ่งแยกไม่คือ
(๑)
หุ้นเป็นทรัพย์แบ่งแยกไม่ได้ตามมาตรา ๑๑๑๘ วรรคหนึ่ง
(๒)
ส่วนควบ ภาระจำยอม และสิทธิจำนอง แบ่งไม่ได้
ประเด็นแรก "ทรัพย์นอกพาณิชย์"
หมายความว่า
ทรัพย์ที่ไม่สามารถถือเอาได้และทรัพย์ที่โอนแก่กันมิได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ทรัพย์นอกพาณิชย์มีความหมาย
๒ ประการ คือ
๑.
ทรัพย์ที่ไม่สามารถถือเอาได้
๒.
ทรัพย์ที่โอนแก่กันไม่ได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งทรัพย์นอกพาณิชย์ที่กฎหมายห้ามโอนจะต้องมีอยู่
๒ ประการ คือ
๒.๑
ต้องเป็นการห้ามโอนโดยกฎหมายบัญญัติไว้
๒.๒
ลักษณะของการห้ามโอนจะต้องเป็นการห้ามโอนโดยถาวร
***
ประเภทของทรัพย์นอกพาณิชย์นั้นมีหลายประการ อาจแยกได้ดังต่อไปนี้
(๑)
สิทธิที่จะได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูเป็นทรัพย์นอกพาณิชย์จะสละหรือโอนไม่ได้
(๒)
ที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ หรือที่ศาสนสมบัติกลางเป็นทรัพย์นอกพาณิชย์
(๓)
ทรัพย์นอกพาณิชย์ที่โอนกันไม่ได้ตามกฎหมาย ต้องเป็นกรณีที่มีกฎหมายห้ามโอนเท่านั้น
แต่ถ้าเป็นการห้ามโอนโดยนิติกรรมก็ไม่ถือว่าเป็นทรัพย์นอกพาณิชย์ การห้ามโอนโดยมีกำหนดระยะเวลา
เช่น การห้ามโอนตามกฎหมายว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อการครองชีพหรือประมวลกฎหมายที่ดิน
ไม่ใช่เป็นการห้ามโอนโดยถาวรจึงไม่เป็นทรัพย์นอกพาณิชย์ กรณีนี้มีปัญหาว่าการทำสัญญาจะซื้อจะขายกันไว้ก่อนว่าพอพ้นกำหนดเวลาแล้วค่อยโอนกัน
ข้อสัญญาดังกล่าวจะใช้บังคับได้หรือไม่ ในกรณีเช่นนี้มีข้อพิจารณาว่า
๓.๑ ถ้าข้อเท็จจริงแสดงให้เห็นโดยชัดเจนว่า เป็นการจงใจหลีกเลี่ยงกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ห้ามโอนก็เป็นโมฆะ
๓.๒
ถ้าข้อเท็จจริงแสดงให้เห็นโดยชัดแจ้งว่าไม่เป็นการจงใจหลีกเลี่ยง ก็ไม่เป็นโมฆะ
ตัวอย่าง
ข้อ ๑. นาย กรกิจ มีที่ดินเป็น น.ส.๓
ซึ่งมีข้อกำหนดห้ามโอนภายใน ๑๐ ปี ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวให้แก่นาย สมพร
โดยมีข้อตกลงกันว่าจะจดทะเบียนเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาห้ามโอน เมื่อนาย กรกิจ ยังไม่ได้มีการส่งมอบการครอบครองที่ดินดังกล่าวภายในระยะเวลาห้ามโอน ๑๐ ปี จึงถือว่าไม่ได้จงใจหลีกเลี่ยงข้อห้ามตามกฎหมาย
สัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวไม่เป็นโมฆะ
ข้อ ๒. นายสุนัยมีที่ดินเป็น
น.ส.๓ ซึ่งมีข้อกำหนดห้ามโอนภายใน ๑๐ ปี
ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวให้แก่นางวิภาภายในระยะเวลาห้ามโอน โดยได้มีการชำระเงินกันแล้วและนายสุนัยได้มอบที่ดินให้นางวิภาเข้าครอบครองแล้ว โดยมีข้อตกลงกันว่านายสุนัยจะจดทะเบียนโอนให้เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาห้ามโอน
จึงเป็นการจงใจหลีกเลี่ยงกฎหมายโดยชัดแจ้ง
สัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ
ข้อ ๓. นางสายเจ้าของที่ดินทำสัญญาซื้อขายที่ดินให้กับนายหนุ่ยในระยะเวลาห้ามโอน
ตามกฎหมาย สัญญาซื้อขายดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ จึงไม่อาจส่งมอบการครอบครองที่ดินแก่กันได้
นายหนุ่ยจึงไม่ได้สิทธิครอบครอง แต่หากพ้นระยะเวลาห้ามโอนแล้ว
นางสายได้สละเจตนาครอบครองหรือนางสายได้มีการมอบการครอบครองให้แก่นายหนุ่ยแล้ว
เช่นนี้นายหนุ่ยก็มีสิทธิครอบครอง แต่ถ้านางสายยังไม่ได้สละเจตนา
ครอบครองหรือมิได้มีการมอบการครอบครองให้แก่นายหนุ่ย แม้นายหนุ่ยจะยังคงครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ต่อมาก็ถือว่านายหนุ่ยครอบครองแทนนางสาย
เมื่อถือว่านายหนุ่ยเป็นผู้ครอบครองที่ดินแทนนางสาย
หากนายหนุ่ยโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่บุคคลภายนอก ก็จะเข้าหลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน
เพราะถือว่าบุคคลภายนอกครอบครองที่ดินแทนนางสายเช่นเดียวกัน
แต่ถ้าข้อเท็จจริงปรากฏว่านายหนุ่ยเข้าครอบครองที่ดินนับแต่ได้ซื้อจากนางสายมาตลอดแม้ในระยะเวลาห้ามโอน
นายหนุ่ยยังไม่ได้สิทธิครอบครอง แต่เมื่อนายหนุ่ยครอบครองที่ดินตลอดมาจนล่วงระยะเวลาห้ามโอนแล้วเป็นเวลานานถึง
๑๐ ปีเศษ และเสียภาษีบำรุงท้องที่ในนามของนายหนุ่ยตลอดมาโดยไม่มีผู้อื่นเข้ามายุ่งเกี่ยว
การแย่งการครอบครองการครอบครองที่ดินของนายหนุ่ยดังกล่าวจึงเป็นการยึดถือโดยเจตนายึดถือเพื่อตนแล้ว
นายหนุ่ยย่อมได้สิทธิครอบครองตามมาตรา ๑๓๖๗
ประเด็นที่สอง "ส่วนควบของทรัพย์"
หมายความว่า ส่วนซึ่งโดยสภาพแห่งทรัพย์หรือโดยจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นเป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่ของทรัพย์นั้น
และไม่อาจแยกจากกันได้นอกจากจะทำลาย ทำให้บุบสลาย
หรือทำให้ทรัพย์นั้นเปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือสภาพไป และโดยปกติเจ้าของทรัพย์ย่อมมีกรรมสิทธิ์ในส่วนควบของทรัพย์นั้น
เช่น ไม้ยืนต้น ไม้ยืนต้นเป็นส่วนควบกับที่ดินที่ไม้นั้นขึ้นอยู่
แต่หากเป็นไม้ล้มลุกหรือธัญชาติอันจะเก็บเกี่ยวรวงผลได้คราวหนึ่งหรือหลายคราวต่อปี
ไม่ถือว่าเป็นส่วนควบกับที่ดิน
ประเด็นที่สาม "ทรัพย์ติดกับที่ดิน"
ทรัพย์ซึ่งติดกับที่ดินหรือติดกับโรงเรือนเพียงชั่วคราวไม่ถือว่าเป็นส่วนควบกับที่ดินหรือโรงเรือนนั้น
ความข้อนี้ให้ใช้บังคับแก่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น
ซึ่งผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นใช้สิทธินั้นปลูกสร้างไว้ในที่ดินนั้นด้วย
ที่นี้เราลองมาดูองค์ประกอบของส่วนควบกันบ้าง
๑. เป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่ของตัวทรัพย์ มีอยู่ ๒
ลักษณะคือ
๑.๑ โดยสภาพของตัวทรัพย์เอง
๑.๒ โดยจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น
ตัวอย่าง
๑) บ้านเป็นสาระสำคัญของที่ดิน ดังนั้น
บ้านจึงเป็นส่วนควบของที่ดิน และครัวตามจารีตประเพณีก็เป็นสาระสำคัญของตัวเรือน เพราะบ้านย่อมต้องมีครัว
๒) เครื่องจักรทำน้ำโซดาและอุปกรณ์ทำน้ำโซดาไม่ได้เป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่ของที่ดิน
ไม่เป็นส่วนควบของที่ดิน เป็นเพียงสังหาริมทรัพย์ธรรมดา
ที่สามารถเคลื่อนย้ายไปที่ใดก็ได้
๒.
ทรัพย์ที่มารวมกันเป็นส่วนควบนั้นไม่อาจแยกจากกันได้ นอกจากจะทำลาย
ทำให้บุบสลายหรือทำให้ทรัพย์นั้นเปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือสภาพไป
***
ข้อยกเว้นเรื่องส่วนควบ
๑)
ไม้ล้มลุกและธัญชาติอันจะเก็บเกี่ยวรวงผลได้คราวหนึ่งหรือหลายคราวต่อปี
ไม่ถือว่าเป็นส่วนควบของที่ดิน
๒)
ทรัพย์ซึ่งติดกับที่ดินหรือโรงเรือนเพียงชั่วคราวไม่ถือว่าเป็นส่วนควบของที่ดิน หรือโรงเรือนนั้น
เช่น การปลูกสร้างอาคารจัดการแสดงสินค้าเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง หรือ การปลูกสร้าง
ตัวอย่าง
นายชัยตกลงให้นายชายปลูกต้นสนในที่ดินของนายชัย
โดยเมื่อต้นสนโตเต็มที่แล้วก็จะตัดขายเอาเงินมาแบ่งกัน ต้นสนจึงไม่เป็นส่วนควบของที่ดิน
ดังนั้น แม้นายชัยจะนำที่ดินไปจำนองให้แก่นายสด นายก็ไม่สดมีสิทธิบังคับเอาจากต้นสนของนายชาย
ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก นายชายมีสิทธิขอกันส่วนได้
ส่วนในกรณีที่โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินนั้นไม่เป็นส่วนควบเพราะเข้า
ข้อยกเว้นตามมาตรา ๑๔๖ ผู้มีสิทธิปลูกสร้างยังเป็นเจ้าของโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างนั้นอยู่
แต่จะยกขึ้นต่อสู้กับผู้รับจำนองโดยสุจริตไม่ได้
เพราะสิทธินั้นไม่ได้จดทะเบียน ผู้รับจำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างก็มีสิทธิบังคับชำระหนี้เอาจากทั้งที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้นได้
เพราะผู้รับจำนองเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้รู้เห็นด้วย เว้นแต่ผู้รับจำนองนั้นไม่สุจริต
๓.
โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นซึ่งผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นได้ใช้สิทธินั้นปลูกสร้างไว้ในที่ดินนั้น
โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นส่วนควบของที่ดินที่ปลูกสร้างลงไปนั้น
ซึ่งสิทธิ ที่จะปลูกสร้างในที่ดินของผู้อื่นมีอยู่ ๒ ลักษณะด้วยกัน คือ
๓.๑ สิทธิตามสัญญา ซึ่งสิทธิตามสัญญานี้จะมีหลักฐานเป็นหนังสือหรือไม่ก็ได้
จะทำโดยชัดแจ้ง หรือโดยปริยายก็ได้ เช่น เจ้าอาวาสปลูกเรือนในที่ดินธรณีสงฆ์ของวัดโดยใช้เงินของผู้อื่นซึ่งมีศรัทธาถวายเพื่อเป็นที่พักอาศัยของคนมาทำบุญ
เรือนจึงเป็นส่วนควบของที่ดิน, นายไก่เช่าที่ดินนายเป็ดเพื่อปลูกสร้างโรงเรือน
โรงเรือนนั้นไม่เป็นส่วนควบของที่ดิน, ปลูกตึกแถวลงในที่ดินโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าที่ดินมีกำหนด
๑๕ ปี แล้วจึงให้ตึกแถวนั้นตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของที่ดิน เมื่อยังไม่ครบ ๑๕ ปี
ตึกแถวก็ยังไม่เป็นส่วนควบ กรรมสิทธิ์จึงยังไม่ตกเป็นเจ้าของที่ดิน, นายหมูสร้างทางเท้าและคันหินลงในที่ดินของนายห่าน
โดยนายห่านยินยอมเป็นสิทธิตามสัญญา นายห่านจะเลิกเสียเมื่อใดก็ได้ เมื่อนายห่านบอกเลิกสัญญาแล้ว นายหมูก็ไม่มีสิทธิใช้ต่อไป
ทางเท้าและคันหินนั้นก็ไม่เป็นส่วนควบ เพราะเป็นการปลูกสร้างลงในที่ดินของนายห่านโดยอาศัยสิทธิที่นายห่านยินยอมให้ทำได้
หรือผู้จะขายที่ดินยอมให้ผู้จะซื้อเข้าไปปลูกบ้านในที่ดินที่จะขาย
ถือว่าผู้จะซื้อเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้จะขายในอันที่จะปลูกบ้านได้ บ้านไม่เป็นส่วนควบของที่ดิน เป็นต้น
๓.๒ สิทธิในที่ดินของผู้อื่นในลักษณะที่เป็นทรัพยสิทธิ ใครเป็นเจ้าของส่วนควบ
กรณีที่เป็นทรัพย์สินเดียวมักไม่มีปัญหา แต่ปัญหาจะอยู่ที่มีการนำเอาทรัพย์หลายสิ่งมารวมกันจนเป็นส่วนควบ
กฎหมายจึงได้กำหนดให้เจ้าของทรัพย์ประธานเป็นเจ้าของส่วนควบ เช่น
๑)
ตัวถังรถยนต์เป็นทรัพย์ประธาน
๒) ที่ดินเป็นทรัพย์ประธานของบ้าน
และสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินนี้รวมถึงที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์ และสิทธิครอบครองด้วย
*** เรามาดูข้อยกเว้นกันบ้างว่า อะไรคือข้อยกเว้นหลักที่ว่าใครเป็นเจ้าของทรัพย์ประธานย่อมเป็นเจ้าของส่วนควบด้วยนั้น
๑)
การสร้างโรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง หรือปลูกต้นไม้ในที่ดินของผู้อื่นโดยไม่สุจริต บุคคลนั้นต้องทำที่ดินให้เป็นตามเดิมแล้วส่งคืนเจ้าของ
เว้นแต่เจ้าของที่ดินจะยอมให้ส่งคืนเช่นนั้น แต่เจ้าของที่ดินต้องใช้ราคา (มาตรา ๑๓๑๑
และ มาตรา ๑๓๑๔)
๒)
การสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริต ซึ่งมาตรา ๑๓๑๒
วรรคหนึ่งกำหนดให้คนสร้างโรงเรือนที่รุกล้ำเป็นเจ้าของโรงเรือนที่สร้างนั้น
แต่ต้องเสียเงินให้แก่เจ้าของที่ดินเป็นค่าใช้ที่ดินนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกา
คำพิพากษาฎีกาที่
๙๗๖๔/๕๒
โจทก์จำเลยและผู้เช่าอื่นมีข้อตกลงระหว่างกันว่าผู้เช่าซื้อที่ดินส่วนที่มีห้องแถวที่ตนเช่าปลูกสร้างอยู่และที่ดินแต่ละแปลงให้แนวตัดตรงตามแนวโฉนดที่ดิน
ถ้าห้องเช่าหรือสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำแนวที่ดินของผู้เช่าอื่น
ต้องรื้อถอนส่วนที่รุกล้ำเมื่อผู้เช่าอื่นปลูกสร้างใหม่
ถ้ายังไม่มีการปลูกสร้างอาคารใหม่ก็ให้อยู่กันตามสภาพเดิมไปก่อน
ข้อตกลงดังกล่าวบังคับได้และผูกพันโจทก์จำเลย
เมื่อโจทก์จำเลยซื้อที่ดินโจทก์จะปลูกสร้างอาคารใหม่แทนห้องเช่าเดิมบนที่ดินที่ซื้อ
แต่มีสิ่งปลูกสร้างของจำเลยรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์ โจทก์บอกกล่าวจำเลยแล้ว
จำเลยต้องปฏิบัติตามข้อตกลงรื้อสิ่งปลูกสร้างส่วนที่รุกล้ำที่ดินโจทก์
และเมื่อมีข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยเช่นนี้ มิใช่กรณีต้องนำ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๑๓๑๒ มาปรับใช้ในฐานะบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งตามมาตรา ๔
๓)
ถ้าเอาสังหาริมทรัพย์ของบุคคลหลายคนมารวมเข้ากันจนเป็นส่วนควบหรือแบ่งแยกไม่ได้ว่าทรัพย์ใดเป็นทรัพย์ประธาน
มาตรา ๑๓๑๖ บัญญัติให้ทุกคนเป็นเจ้าของในทรัพย์ใหม่ที่รวมเข้ากันการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในส่วนควบของเจ้าของทรัพย์ตามมาตรา
๑๔๔ วรรคสอง เป็นการได้มาโดยผลของกฎหมาย จึงไม่จำเป็นต้องมีการจดทะเบียนกันอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๕๗๘๔/๒๕๓๙
ข้อกำหนดที่ให้จำเลยชดใช้ค่าเสื่อมราคาของรถยนต์ที่เช่าซื้อตามที่ระบุไว้ใน
สัญญาเช่าซื้อก็คือราคารถยนต์ที่ยึดคืนมาขายได้น้อยกว่าราคาที่เช่าซื้อที่
จำเลยต้องรับผิดนั่นเองข้อสัญญาดังกล่าวจึงเป็นวิธีการกำหนดค่าเสียหายวิธี
หนึ่งซึ่งมีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับซึ่งศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้
ถ้าเห็นว่าสูงเกินส่วน ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องมาไม่ใช่ค่าเช่าซื้อหรือเงินอื่นใดที่ค้างชำระ
ดังที่สัญญาเช่าซื้อระบุไว้ให้เรียกดอกเบี้ยได้ในอัตราร้อยละ ๑.๗๕ ต่อเดือน
หากแต่เป็นหนี้เงินซึ่งโจทก์สามารถเรียกดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา
๒๔๔ วรรคหนึ่งเท่านั้น จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์เป็นผู้นำกระบะบรรทุกมาติดตั้ง
ประกอบเข้ากับรถยนต์ที่เช่าซื้อกระบะบรรทุกดังกล่าวจึงเป็นส่วนควบของรถยนต์ ที่เช่าซื้อโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์อันถือได้ว่าเป็นเจ้าทรัพย์เป็นประธาน
ย่อมเป็นเจ้าของกระบะบรรทุกที่ติดตั้งประกอบเข้ากับรถยนต์ที่เช่าซื้อ
แต่ผู้เดียว แต่ต้องใช้ค่ากระบะรถบรรทุกนั้นให้แก่จำเลยที่ ๑ ผู้เป็นเจ้าของ
ทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๑๖ วรรคสอง
คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๐๕๕/๒๕๓๔
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากจำเลยทั้งสอง
แต่ในหนังสือขายที่ดินระบุว่าไม่มีสิ่งปลูกสร้างดังนี้
บ้านพิพาทจึงเป็นส่วนควบกับที่ดินและตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสอง
โดยไม่จำต้องจดทะเบียนกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อีก
เมื่อโจทก์ทั้งสองครอบครองบ้านพิพาทซึ่งเป็นของตนเองเช่นนี้
จึงไม่เป็นครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒
ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองโต้แย้งสิทธิในบ้านพิพาทของโจทก์ทั้งสองแต่อย่างใดโจทก์ทั้งสองจึงไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้อง
***
สรุปกรรมสิทธิ์ในส่วนควบ
๑.
กรรมสิทธิ์ของเจ้าของทรัพย์ที่เป็นประธานตามมาตรา ๑๔๔ วรรคสอง
มีความสำคัญหรือมีอำนาจเหนือกว่าคนที่ได้รับกรรมสิทธิ์ในส่วนควบมาในลักษณะของกรรม
สิทธิ์โดยทั่วๆ ไป
๒.
เจ้าของทรัพย์เป็นประธานเป็นเจ้าของส่วนควบตามมาตรา ๑๔๔ วรรคสอง
ซึ่งเป็นการได้มาโดยผลของกฎหมาย ดังนั้น
แม้ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ก็ไม่จำเป็นต้องมีการจดทะเบียน
๓.
การก่อตั้งสิทธิเหนือพื้นดินในกรรมสิทธิ์ในตัวส่วนควบแยกต่างหากออกจากกรรมสิทธิ์จากทรัพย์ที่เป็นประธานนั้นจะมีผลผูกพันบุคคลภายนอกได้ก็ต่อเมื่อได้ก่อตั้งขึ้นมาในลักษณะที่เป็นสิทธิเหนือพื้นดินตามมาตรา
๑๔๑๐
๔.
การก่อตั้งสิทธิเหนือพื้นดินจะต้องอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา ๑๒๙๙ คือต้องจด
ทะเบียน ถ้าไม่จดทะเบียนก็ไม่บริบูรณ์ในฐานะเป็นทรัพยสิทธิ
แต่แม้จะมิได้จดทะเบียนก็สามารถบังคับได้ในฐานะบุคคลสิทธิ์
แต่จะใช้ต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนไม่ได้
ต่อไปเรามาศึกษากันถึงเรื่อง "อุปกรณ์"
อุปกรณ์ หมายความว่า สังหาริมทรัพย์ซึ่งโดยปกตินิยมเฉพาะถิ่นหรือโดยเจตนาชัดแจ้งของเจ้าของทรัพย์ที่เป็นประธาน
เป็นของใช้ประจำอยู่กับทรัพย์ที่เป็นประธานเป็นอาจิณ เพื่อประโยชน์แก่การจัดดูแล
ใช้สอย หรือรักษาทรัพย์ที่เป็นประธาน
และเจ้าของทรัพย์ได้นำมาสู่ทรัพย์ที่เป็นประธานโดยการนำมาติดต่อหรือปรับเข้าไว้
หรือทำโดยประการอื่นใดในฐานะเป็นของใช้ประกอบกับทรัพย์ที่เป็นประธานนั้น อุปกรณ์ที่แยกออกจากทรัพย์ที่เป็นประธานเป็นการชั่วคราวก็ยังไม่ขาดจากการเป็นอุปกรณ์ของทรัพย์ที่เป็นประธานนั้น
อุปกรณ์ย่อมตกติดไปกับทรัพย์ที่เป็นประธาน เว้นแต่จะมีการกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
***
องค์ประกอบของการเป็นอุปกรณ์
๑.
อุปกรณ์จะต้องมีทรัพย์ที่เป็นประธาน
๒.
อุปกรณ์จะต้องเป็นสังหาริมทรัพย์
๓.
อุปกรณ์จะต้องไม่มีสภาพรวมกับทรัพย์ที่เป็นประธานจนไม่สามารถแยกออกจากกันได้
๔.
อุปกรณ์ต้องไม่ใช่เป็นทรัพย์ที่เป็นประธานด้วยกันหรือมีความสำคัญเท่ากัน
๕.
อุปกรณ์จะต้องเป็นทรัพย์ที่เป็นเจ้าของเดียวกันกับทรัพย์ที่เป็นประธาน
๖.
อุปกรณ์จะต้องเป็นของใช้ประจำอยู่กับทรัพย์ที่เป็นประธานเป็นอาจิณ ซึ่งมีหลักเกณฑ์
๒ ประการ คือ ๑) พิจารณาจากปกตินิยมเฉพาะถิ่น
๒)พิจารณาจากเจตนาของเจ้าของทรัพย์ที่เป็นประธาน
๗.
อุปกรณ์ต้องใช้ประจำเป็นอาจิณกับทรัพย์ที่เป็นประธานเพื่อประโยชน์ในการจัดดูแล
ใช้สอย หรือรักษาทรัพย์ที่เป็นประธาน
ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา
คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๘๑๔/๒๕๔๕
จำเลยนำวิทยุเครื่องเล่นเทป
เครื่องเล่นซีดี ลำโพงและอุปกรณ์
เครื่องเสียงมาสู่รถที่เช่าซื้อก็เพื่อประโยชน์ของจำเลยมิใช่เพื่อประโยชน์แก่การจัดดูแล
ใช้สอยหรือรักษาทรัพย์ที่เป็นประธานคือรถที่เช่าซื้อทรัพย์ดังกล่าวจึงมิใช่อุปกรณ์อันจะตกติดไปกับทรัพย์ประธานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๑๔๗ วรรคท้าย สัญญาเช่าซื้อที่ระบุว่า
หากผู้เช่าซื้อนำสิ่งของเข้ามาดัดแปลงต่อเติม
ติดหรือตั้งอยู่ในตัวทรัพย์สินที่เช่าซื้อ สิ่งนั้นจะตกเป็นส่วนหนึ่งของตัวทรัพย์สินที่เช่าซื้อและเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของทันที
มีที่มาจากปัญหาซึ่งมักจะเกิดแก่โจทก์ที่ต้องพิพาทกับผู้เช่าซื้อในกรณีที่ผู้เช่าซื้อนำสิ่งของเข้ามาดัดแปลง
ต่อ เติม ติดหรือตั้งกับทรัพย์ที่เช่าซื้อและจะเอาสิ่งของนั้นคืน เมื่อต้องคืนทรัพย์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์
แต่การรื้อสิ่งของที่ว่านั้นออกไปจะทำให้ทรัพย์ที่เช่าซื้อเสียหายได้ ฉะนั้น
ลำพังการที่จำเลยนำทรัพย์ดังกล่าวมาสู่ตัวรถที่เช่าซื้อ
ย่อมไม่ถึงขนาดที่จะก่อให้เกิดความเสียหายหากจะต้องรื้อออกไป
จึงไม่อยู่ในขอบแห่งข้อสัญญาดังกล่าว โจทก์ไม่อาจยกมาเป็นเหตุไม่คืนวิทยุ
เครื่องเล่นเทป เครื่องเล่นซีดี ลำโพงและอุปกรณ์เครื่องเสียงให้แก่จำเลย
๘.
อุปกรณ์จะต้องเป็นทรัพย์ที่เจ้าของทรัพย์ที่เป็นประธานนำมาสู่ทรัพย์ที่เป็นประธานโดยการนำมาติดหรือปรับเข้าไว้หรือกระทำด้วยประการใดในฐานะเป็นเครื่องใช้เพื่อประโยชน์ในการดูแลใช้สอยหรือรักษาทรัพย์ที่เป็นประธาน
ประเด็นต่อไปคือ "ดอกผล"
ดอกผลมีอยู่ ๒ ชนิด คือ
๑. ดอกผลธรรมดา ดอกผลธรรมดา หมายความว่า
สิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของทรัพย์ ซึ่งได้มาจากตัวทรัพย์โดยการมีหรือใช้ทรัพย์นั้นตามปกตินิยม
และสามารถถือเอาได้เมื่อขาดจากทรัพย์นั้น
๒. ดอกผลนิตินัย ดอกผลนิตินัย หมายความว่า
ทรัพย์หรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้มาเป็นครั้งคราวแก่เจ้าของทรัพย์จากผู้อื่นเพื่อการที่ได้ใช้ทรัพย์นั้น
และสามารถคำนวณและถือเอาได้เป็นรายวันหรือตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ซึ่งสาระสำคัญของดอกผลนิตินัยมี
ดังนี้
๑. ดอกผลนิตินัยต้องเป็นทรัพย์หรือเป็นประโยชน์
๒. ดอกผลนิตินัยต้องเป็นทรัพย์ที่ตกได้แก่เจ้าของทรัพย์
๓.
ดอกผลนิตินัยจะต้องตกได้แก่ผู้เป็นเจ้าของแม่ทรัพย์เป็นการตอบแทนจากการที่ผู้อื่นได้ใช้ตัวทรัพย์นั้น
๔. ดอกผลนิตินัยจะต้องเป็นดอกผลที่ตกได้แก่เจ้าของทรัพย์เป็นครั้งคราว
ทั้งนี้ ผลกำไรที่ได้จากการขายทรัพย์ไม่ใช่ดอกผลนิตินัย
แต่ผลกำไรที่ได้จากการแบ่งกำไรของห้างหุ้นส่วนหรือเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในบริษัท
ถือว่าเป็นดอกผลนิตินัย
***
ผู้ที่มีสิทธิในดอกผล คือ เจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน และเป็นเจ้าของดอกผลของตัวทรัพย์นั้น
ไม่ว่าจะเป็นดอกผลนิตินัยหรือดอกผลธรรมดา
ในมาตรา ๔๙๒ กำหนดให้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายฝากเป็นของผู้ไถ่ตั้งแต่เวลาที่ผู้ไถ่
ไถ่ทรัพย์นั้น หรือวางทรัพย์อันเป็นสินไถ่แล้วแต่กรณี เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะมีการไถ่ทรัพย์หรือวางทรัพย์เพื่อไถ่ทรัพย์นั้น ผู้รับซื้อฝากก็ไม่ต้องคืนดอกผลให้แก่ผู้ขายฝาก
***
ข้อยกเว้นที่ผู้อื่นมีสิทธิในดอกผล
๑. เมื่อมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษ
เช่น
๑.๑
ดอกผลของสินส่วนตัวเป็นสินสมรส (มาตรา ๑๔๗๔ (๓))
๑.๒
บุคคลผู้ได้รับทรัพย์สินไว้โดยสุจริต
ย่อมจะได้ดอกผลอันเกิดแต่ทรัพย์สินนั้นตลอดเวลาที่ยังคงสุจริตอยู่ (มาตรา ๔๑๕ วรรคหนึ่ง)
๑.๓
ถ้าจะต้องส่งทรัพย์สินคืนแก่ผู้มีสิทธิเอาคืน
ผู้นั้นไม่ต้องคืนดอกผลคราบเท่าที่ยังสุจริตอยู่
เมื่อใดรู้ว่าจะต้องคืนก็ถือว่าไม่สุจรติแล้ว (มาตรา ๑๓๗๖)
๒. มีข้อตกลงไว้เป็นอย่างอื่น
๓. บุคคลที่ไม่ได้เป็นเจ้าของทรัพย์นั้นมีสิทธิเอาดอกผลไปชำระหนี้ที่เจ้าของทรัพย์เป็นหนี้ตน
(หักหนี้)
ต่อไปเป็นเรื่อง "ทรัพยสิทธิ"
ทรัพยสิทธิคืออะไร "ทรัพยสิทธิ" คือ สิทธิที่มีวัตถุแห่งสิทธิเป็นทรัพย์สินหรือเป็นสิทธิที่อยู่เหนือทรัพย์สินนั้นอันจะบังคับเอาแก่ตัวทรัพย์สินนั้นได้โดยตรงและการก่อตั้งทรัพยสิทธิได้นั้นจะต้องมีกฎหมายรองรับ
"บุคคลสิทธิ" คือ สิทธิเกิดขึ้นจากสัญญาเป็นหลัก
เป็นสิทธิที่บุคคลซึ่งเป็นคู่สัญญานั้นก่อตั้งขึ้น
บังคับได้แต่เฉพาะตัวบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีเท่านั้น
ข้อแตกต่างระหว่างทรัพยสิทธิกับบุคคลสิทธิ
ทรัพยสิทธิ
|
บุคคลสิทธิ
|
๑. ทรัพยสิทธิเป็นสิทธิที่มีวัตถุแห่งสิทธิเป็นทรัพย์สินโดยตรง
ใช้ยันได้กับทุกคน ในการจำหน่าย จ่าย โอน
ติดตามเอาทรัพย์นั้นหรือห้ามคนอื่นเข้าเกี่ยวข้อง
|
๑. บุคคลสิทธิเป็นสิทธิที่มีอยู่เหนือตัวบุคคล
ใช้บังคับได้แต่เฉพาะตัวบุคคลที่เป็นคู่กรณีและผู้สืบสิทธิของคู่กรณีเท่านั้น
ลักษณะของบุคคลสิทธิเป็นเรื่องให้กระทำการ งดเว้นกระทำการ หรือส่งมอบทรัพย์สิน
|
๒.
การก่อตั้งทรัพยสิทธิจะต้องมีกฎหมายรองรับ
|
๒. บุคคลสิทธิโดยทั่วไปจะก่อตั้งขึ้นมาโดยนิติกรรมสัญญา
แต่บางกรณีสิทธิที่เป็นบุคคลสิทธิอาจจะเกิดจากการที่มีกฎหมาย
รองรับว่ามีบุคคลสิทธิได้ ซึ่งเรียกว่านิติเหตุ
|
๓.
ทรัพย์สิทธิก่อให้เกิดหน้าที่แก่บุคคลทั่วไปที่จะต้องยอมรับนับถือ
ที่จะต้องเคารพคนที่ เป็นเจ้าของทรัพยสิทธิหรือคนที่ทรงทรัพยสิทธินั้น
|
๓. บุคคลสิทธิใช้บังคับได้แต่เฉพาะคู่กรณีหรือผู้สืบสิทธิของคู่กรณีเท่านั้น
|
๔. ทรัพยสิทธิเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ยังคงใช้หรือคงมีอยู่ตลอดไป
ถึงแม้ว่าจะไม่ใช้ในเวลาต่อมาก็ตาม
|
๔. บุคคลสิทธิต้องใช้ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้
ถ้าไม่ใช้ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้
ก็จะบังคับใช้ไม่ได้ซึ่งเราเรียกว่าอายุความการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์
|
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๙๙ "ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น
ท่านว่าการได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์
เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่
ถ้ามีผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่น
นอกจากนิติกรรม สิทธิของผู้ได้มานั้น ถ้ายังมิได้จดทะเบียนไซร้
ท่านว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ และสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนนั้น
มิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต
และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว”
มาตรา ๑๓๐๐ "ถ้าได้จดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับ
อสังหาริมทรัพย์เป็นทางเสียเปรียบแก่บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียน
สิทธิของตนได้อยู่ก่อนไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นอาจเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนนั้นได้
แต่การโอนอันมีค่าตอบแทน ซึ่งผู้รับโอนกระทำการโดยสุจริตนั้น
ไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด ท่านว่าจะเรียกให้เพิกถอนทะเบียนไม่ได้"
ซึ่งในกรณีที่เป็นสัญญาเสร็จเด็ดขาดที่เหลือเฉพาะแต่เพียงไปจดทะเบียนโอนให้แก่กันเท่านั้น
คนที่มีสิทธิตามสัญญาก็ถือว่าอยู่ในฐานะที่จะจดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน
เป็นสิทธิประเภท "ทรัพยสิทธิ" แต่ถ้าเป็นสัญญาประเภท "จะ"
คนที่มีสิทธิตามสัญญาเป็นเพียง "บุคคลสิทธิ"
ไม่ถือว่าอยู่ในฐานะที่จะจดทะเบียนสิทธิได้อยู่ก่อนอันจะอ้างมาตรา ๑๓๐๐
มาเพิกถอนการโอนให้แก่บุคคลภายนอกได้ ถ้าจะเพิกถอนก็ต้องไปอาศัยการเพิกถอนการฉ้อฉลตามมาตรา
๒๓๗การฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนตามมาตรา ๑๓๐๐
***
การเพิกถอนการโอนของเจ้าหนี้หรือบุคคลซึ่งอยู่ในฐานะที่จะจดทะเบียนสิทธิ์ของตนได้อยู่ก่อนนั้นมีเงื่อนไขอยู่
๒ ประการ คือ
๑) การจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์จะต้องทำให้บุคคลซึ่งอยู่ในฐานะที่จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนนั้นเสียเปรียบ
๒) ผู้ที่รับโอนอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ไปจะต้องไม่สุจริตหรือไม่เสียค่าตอบแทน
**** ในเรื่องของการเป็นผู้ที่อยู่ในฐานะที่จะจดทะเบียนสิทธิ์ของตนได้อยู่ก่อนนั้น
ศาลฎีกาได้วินิจฉัยตีความว่าการจำนองก็อยู่ในบังคับของมาตรา ๑๓๐๐ นี้เช่นกัน และการอ้างประโยชน์จากมาตรา
๑๓๐๐ ที่จะขอให้เพิกถอนการโอนนั้นจะต้องมีการตั้งประเด็นไว้ในคดีด้วย
ซึ่งการตั้งประเด็นนั้นจะต้องทำโดยคำคู่ความซึ่งอาจอยู่ในคำฟ้อง
คำให้การหรือคำให้การแก้ฟ้องแย้งหรือฟ้องแย้งก็ได้ มาตรา ๑๒๙๙ และ ๑๓๐๐
ใช้บังคับกับการเปลี่ยนแปลง การระงับ
และการกลับคืนมาซึ่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ตามมาตรา ๑๓๐๑มาตรา ๑๒๙๙
มาตรา ๑๓๐๐ และมาตรา ๑๓๐๑ ใช้บังคับกับเรือที่มีระวางตั้งแต่ ๕ ตันขึ้นไป แพ
และสัตว์พาหนะด้วยตามมาตรา ๑๓๐๒ บุคคลหลายคนเรียกร้องเอาสังหาริมทรัพย์เดียวกันโดยอาศัยหลักกรรมสิทธิ์ต่างกัน
"สังหาริมทรัพย์" คือ ทรัพย์สินอื่นนอกจากอสังหาริมทรัพย์
และหมายความรวมถึงสิทธิอันเกี่ยวกับทรัพย์สินนั้นด้วย
มาตรา ๑๔๐ “สังหาริมทรัพย์
หมายความว่า ทรัพย์สินอื่นนอกจากอสังหาริมทรัพย์
และหมายความรวมถึงสิทธิอันเกี่ยวกับทรัพย์สินนั้นด้วย”
มาตรา ๑๓๐๓ "ถ้าบุคคลหลายคนเรียกเอาสังหาริมทรัพย์เดียวกันโดยอาศัยหลักกรรมสิทธิ์ต่างกันไซร้
ท่านว่าทรัพย์สินตกอยู่ในครอบครองของบุคคลใด บุคคลนั้นมีสิทธิยิ่งกว่าบุคคลอื่นๆ
แต่ต้องได้ทรัพย์นั้นมาโดยมีค่าตอบแทนและได้การครอบครองโดยสุจริตท่านมิให้ใช้มาตรานี้บังคับถึงสังหาริมทรัพย์ซึ่งระบุไว้ในมาตราก่อนและในเรื่องทรัพย์สินหาย
กับทรัพย์สินที่ได้มาโดยการกระทำผิด"
ตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าว หมายความว่า
สังหาริมทรัพย์อยู่ในความครอบครองของใคร
คนนั้นก็จะมีสิทธิในสังหาริมทรัพย์นั้นดีกว่า โดยมีเงื่อนไขอยู่ ๒ ประการ คือ
๑.
คนที่มีสังหาริมทรัพย์อยู่ในความครอบครองจะต้องได้สังหาริมทรัพย์มาโดยมีค่าตอบแทน
๒.
การครอบครองที่ได้มานั้นจะต้องได้มาโดยสุจริตมาตรา ๑๓๐๓ วรรคหนึ่ง
ไม่นำมาใช้กับสังหาริมทรัพย์ ดังต่อไปนี้
ก) สังหาริมทรัพย์ประเภทพิเศษ ได้แก่ เรือที่มีระวางตั้งแต่ ๕ ตันขึ้นไป แพ
และสัตว์พาหนะ
ข) ทรัพย์สินหาย
ค) ทรัพย์สินที่ได้มาโดยการกระทำผิด
***
การได้สังหาริมทรัพย์มาโดยเสียค่าตอบแทนและได้การครอบครองโดยสุจริตนั้น
จะต้องเป็นการได้มาจากคนที่มีสิทธิที่จะโอนทรัพย์นั้นได้
ซึ่งเป็นไปตามผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน ถ้าคนที่โอนทรัพย์ให้นั้นไม่มีอำนาจที่จะโอนทรัพย์
แม้ผู้รับโอนจะได้รับโอนมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนก็จะอ้างประโยชน์ตามมาตรา ๑๓๐๓
ไม่ได้
ประเด็นต่อไปเรามาดู "ทรัพย์สินของแผ่นดิน" กัน ทรัพย์สินของแผ่นดินแบ่งทรัพย์สินออกได้เป็น ๒
ประเภท คือ
๑.
ทรัพย์สินของแผ่นดินธรรมดา ซึ่งอาจจะเป็นสังหาริมทรัพย์ก็ได้ หรือจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ก็ได้
๒.
ทรัพย์สินของแผ่นดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ซึ่งทรัพย์ใดจะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินจะต้องมีหลักเกณฑ์
ดังนี้
(๑)
เป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน
(๒)
จะต้องเป็นทรัพย์สินที่ใช้เพื่อสาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ร่วมกันตามมาตรา
๑๓๐๔ ได้แก่
(๒.๑)
ที่ดินรกร้างว่างเปล่า
และที่ดินซึ่งมีผู้เวนคืนหรือทอดทิ้งหรือกลับมาเป็นของแผ่นดินโดยประการอื่น ตามกฎหมายที่ดิน
(๒.๒)
ทรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เป็นต้นว่าที่ชายตลิ่ง ทางน้ำ ทางหลวงทะเลสาบ
(๒.๓)
ทรัพย์สินใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ เป็นต้นว่าป้อม และโรงทหาร
สำนักราชการบ้านเมือง เรือรบ อาวุธยุทธภัณฑ์
ซึ่งทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่จำต้องขึ้นทะเบียนว่าเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินเสมอไป
เพราะทรัพย์สินของแผ่นดินที่จะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสภาพของทรัพย์สินนั้นเองว่าได้ใช้เพื่อสาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันหรือไม่
และการสิ้นไปของสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
สภาพหรือสถานะของการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินอาจจะมีการเพิกถอนได้ แต่การเพิกถอนสภาพของการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินจะทำได้ก็โดยมีกฎหมายเฉพาะ
เมื่อมีการเพิกถอนตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายกำหนดแล้วที่ดินแปลงนั้นก็จะกลับมาเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินตามธรรมดาไม่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินอีกต่อไป
ซึ่งตามประมวลกฎหมายที่ดินถ้าเป็นการเพิกถอนสภาพเพราะไม่ใช้ หรือจะไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นก็จะทำโดยพระราชกฤษฎีกา
แต่ถ้าเป็นการโอนก็จะต้องทำโดยพระราชบัญญัติ
แต่ถ้านำไปจัดสรรซึ่งมีกฎหมายเฉพาะให้อำนาจก็ทำโดยพระราชกฤษฎีกาการหมดสภาพจากการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
การสิ้นสภาพไปของสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
๑.
สาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้นได้มีการเลิกใช้เพื่อสาธารณประโยชน์โดยเด็ดขาดหรือเลิกสงวนไว้เพื่อสาธารณประโยชน์โดยเด็ดขาด
ถ้าเพียงแต่เลิกใช้เพียงชั่วคราว ก็ยังไม่สิ้นสภาพ ยังมีสถานะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่
๒. สาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้นถูกทำลายไปทั้งหมด
๓.
สาธารณสมบัติของแผ่นดินถูกโอนหรือเวนคืนไปเป็นของเอกชนโดยชอบด้วยกฎหมาย
***ผลของการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
๑. จะโอนแก่กันไม่ได้เว้นแต่อาศัยอำนาจตามกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกา
๒. ห้ามยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดิน
๓.
ห้ามยึดทรัพย์สินของแผ่นดินไม่ว่าทรัพย์สินนั้นจะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๔๔/๒๕๔๕
ทรัพย์สินของแผ่นดินจะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ขึ้นอยู่กับสภาพของตัวทรัพย์นั้นว่าราษฎรได้ใช้เพื่อสาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน
เมื่อที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินสาธารณประโยชน์ที่ราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกัน
ที่ดินพิพาทจึงเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน
แม้ทางราชการจะไม่ได้ทำหลักฐานหรือขึ้นทะเบียนไว้
ที่ดินพิพาทก็ยังคงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามกฎหมายที่ไม่อาจยกอายุความขึ้นต่อสู้กับแผ่นดินและไม่อาจโอนให้แก่กันได้
เว้นแต่จะอาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกา
ข้อสังเกตทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินมี ดังนี้
(๑) ทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินอาจจะทำสัญญาจะซื้อจะขายได้
เนื่องจากยังไม่ได้มีการโอนกรรมสิทธิ์กัน แต่ตราบใดที่ยังไม่มีกฎหมายโดยเฉพาะให้มีการโอนกรรมสิทธิ์กันได้แล้ว
ก็ไม่อาจทำสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดเพื่อให้มีการโอนกรรมสิทธิ์กันได้
(๒) ที่ดินที่ถูกเวนคืนไปแล้วเมื่อไม่ได้ใช้ประโยชน์ในการเวนคืนภายในเวลา
๕ ปี กฎหมายกำหนดให้ต้องคืนเจ้าของไป การคืนนี้จึงไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายเฉพาะเพราะกรณีนี้ไม่ใช่เป็นการโอนให้แก่กันตามมาตรา
๑๓๐๕ แต่เป็นการโอนกลับคืนมาโดยเงื่อนไขของกฎหมาย
(๓) ทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินจะเอาไปให้เช่าไม่ได้
ถ้าเอาไปให้เช่าสัญญาเช่านั้นไม่มีผล จะฟ้องบังคับตามสัญญาเช่าไม่ได้
และจะฟ้องขับไล่ก็ไม่ได้เพราะไม่มีอำนาจฟ้อง
(๔) สาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้นใช้เพื่อประโยชน์ร่วมกันหรือสงวนไว้ซึ่งสาธารณประโยชน์
คือ ทุกคนมีสิทธิที่จะเข้าไปใช้สอยได้ และในระหว่างประชาชนด้วยกันนั้นคนที่เข้าไปใช้สอยอยู่ก่อนย่อมมีสิทธิดีกว่าคนอื่น
ถ้าคนมาทีหลังไปรบกวนสิทธิ คนที่ใช้ก่อนก็มีสิทธิที่จะฟ้องขอให้ปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองได้
รวมถึงเรียกค่าเสียหายได้ด้วย
แต่ถ้าคนที่ใช้อยู่ก่อนเอาไปให้เช่าสิทธินั้นก็หมดไป
จะใช้สิทธิปลดเปลื้องทุกข์หรือเอาคืนไม่ได้
สิทธิในการครอบครองสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
๑) สิทธิที่ว่านี้คือสิทธิในการใช้สอยเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่ามีกรรมสิทธิ์ดีกว่าหรือมีสิทธิครอบครองดีกว่าแต่อย่างใด
๒) ผู้ที่จะฟ้องใช้สิทธิปลดเปลื้องทุกข์หรือเอาคืน
จะต้องเป็นผู้เสียหายเป็นพิเศษ
๓) คนที่เข้าไปใช้ก่อนมีสิทธิดีกว่าตราบเท่าที่ยังคงครอบครองยึดถือหรือใช้สอยอยู่
ดังนั้นถ้านำไปให้คนอื่นเช่าหรือทำประโยชน์สิทธินั้นก็สิ้นผลไป
คำพิพากษาศาลฎีกา
คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๖๔๒/๒๕๐๖
ที่ชายตลิ่งอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันนั้น
ผู้ใดจะอยู่มาช้านานเท่าใดก็หาได้กรรมสิทธิ์ไม่
แต่ถ้าหากบุคคลอื่นเข้ามากั้นรั้วปลูกเรือนแพและสิ่งอื่นๆกีดขวางหน้าที่ดินของเจ้าของที่ดินที่ติดกับที่ชายตลิ่งเต็มหมด
จนไม่สามารถใช้สอยชายตลิ่งเข้าออกสู่ลำแม่น้ำได้แล้ว
ย่อมถือว่าเจ้าของที่ดินนั้นได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ มีสิทธิฟ้องขับไล่ได้
คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๒๘/๒๕๑๐
โจทก์มีบ่อน้ำกินคือบ่อพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน
โจทก์ใช้บ่อน้ำบ่อนี้เสมอมาจำเป็นแก่ความเป็นอยู่ของโจทก์
จำเลยกระทำการให้น้ำในบ่อไม่มีให้โจทก์ใช้เช่นเคย ดังนี้ ถือได้ว่าโจทก์เสียหายเป็นพิเศษมีอำนาจฟ้องคดีได้
***แม้จะไม่ได้เข้าไปครอบครองยึดถือหรือไปใช้ที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินโดยตรง
แต่เมื่อใช้อยู่แล้วต่อมาถูกรบกวนการครอบครองหรือการใช้ตามปกติ
ถือว่าผู้นั้นได้รับความเสียหายเป็นพิเศษมีสิทธิฟ้องได้ เช่น
บ้านอยู่ติดลำน้ำสาธารณะแล้วมีคนมาทำรั้วกั้นให้ออกไปไม่ได้
หรือมีคนขึงลวดหนามเข้าไป
ในทางสาธารณะทำให้ไม่สามารถใช้รถผ่านไปได้ เป็นต้น
แต่ถ้าไม่ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษก็ไม่มีอำนาจฟ้อง
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
ผู้เขียนได้แบ่งเรื่องเกี่ยวกับทรัพย์นี้ออกเป็น ๓ ตอน ตอนที่ ๓ คือ เรื่อง "การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์" ซึ่งผู้เขียนเห็นว่า ทั้งสามตอนนี้ครอบคลุมเนื้อหาเกี่ยวกับทรัพย์ได้ครบทุกประเด็น และย่อเนื้อหาทั้งหมดลงมาให้กระชับมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หวังว่าคงมีประโยชน์ต่อทุกท่านบ้างพอสมควร "ด้วยจิตคารวะ"
By กานต์
๕/๖/๖๐, ๑๓.๑๙
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น