วันอาทิตย์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2560

"ทรัพย์" ตอนที่ ๓ "การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์"


"ทรัพย์" ตอนที่ ๓ "การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์"

การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ มี ๒ ประเภท

๑. การได้มาโดยทางนิติกรรม
๒. การได้มาโดยทางอื่นนอกจากทางนิติกรรมหรือการได้มาโดยผลของกฎหมาย 

*** ซึ่งการได้มาโดยผลของกฎหมายนั้น ผู้เขียนขอยกตัวอย่างเรื่อง  การได้มาโดยหลักส่วนควบ เช่น ที่งอกริมตลิ่ง มาอธิบายเป็นกรณีศึกษา ดังนี้

มาตรา ๑๓๐๘ ที่ดินแปลงใด เกิดที่งอกริมตลิ่ง ที่งอก ย่อมเป็น ทรัพย์สิน ของเจ้าของที่ดิน แปลงนั้น(ตามหลักส่วนควบ) โดยที่งอกริมตลิ่งมีลักษณะ ดังนี้

                   ก. ที่งอกริมตลิ่งต้องเป็นที่ซึ่งในฤดูน้ำตามปกติน้ำท่วมไม่ถึง
                   ข. ที่งอกริมตลิ่งจะต้องเป็นที่งอกจากที่ดินที่เป็นประธานออกไปในแม่น้ำ ลักษณะของการงอกจะต้องเป็นการงอกโดยธรรมชาติ

มาตรา ๑๓๐๘  ที่ดินแปลงใดเกิดที่งอกริมตลิ่ง ที่งอกย่อมเป็นทรัพย์สินของเจ้าของที่ดินแปลงนั้น


คำพิพากษาศาลฎีกา

คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๑๘๙/๒๕๓๕

                 โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์มีหน้าที่ดูแลรักษาที่ดินสาธารณประโยชน์ในเขตเทศบาล จำเลยได้ปลูกสร้างอาคารเลขที่ ๕๔/๘ รุกล้ำเข้าไปในลำรางสาธารณะที่ตื้นเขินกลายสภาพเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ในเขตเทศบาล เนื้อที่ ๔.๔ ตารางวา ซึ่งอยู่ในความดูแลรักษาของโจทก์ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วโจทก์ไม่ต้องแสดงโฉนดหรือหลักฐานแห่งที่ดินว่าเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์อย่างไร เพราะการเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์หรือไม่เป็นไปตามสภาพของที่ดิน และโจทก์ไม่จำต้องบรรยายมาในฟ้องว่า ที่ดินสาธารณประโยชน์ทั้งหมดมีเนื้อที่เท่าใดจำเลยปลูกสร้างอาคารรุกล้ำตั้งแต่เมื่อใด มีเขตกว้างยาวเท่าใดเพราะเป็นรายละเอียดที่คู่ความอาจนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ลำรางสาธารณประโยชน์สำหรับระบายน้ำจากภูเขาซึ่งมีมานานแล้วเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกัน แม้ต่อมาจะไม่มีสภาพเป็นทางระบายน้ำต่อไปและไม่มีราษฎรใช้ประโยชน์เมื่อยังไม่มีการตราพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ตามมาตรา ๘ ประมวลกฎหมายที่ดิน ที่ดินนั้นยังเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่เช่นเดิม ที่งอกริมตลิ่ง หมายถึงที่ดินที่งอกไปจากตลิ่งตามธรรมชาติซึ่งเกิดจากการที่สายน้ำพัดพาดินจากที่อื่นมาทับถมกันริมตลิ่งจนเกิดที่งอกขึ้น มิใช่งอกจากที่อื่นเข้ามาหาตลิ่ง โจทก์มีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาสาธารณสมบัติของแผ่นดินในเขตเทศบาลตามคำสั่งของกระทรวงมหาดไทย จึงมีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อถอนอาคารส่วนที่รุกล้ำสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า

คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๑๑/๒๔๗๗

                   ที่ดินซึ่งตื้นเขินขึ้นเป็นเกาะในหนองนำสาธารณะ แม้ภายหลังที่ริมฝั่งตื้นเขินเชื่อมติดกับที่ดินของผู้อื่นที่อยู่ริมหนอง ก็ไม่ใช่ที่งอกริมตลิ่งเพราะไม่ได้งอกออกจากริมตลิ่ง คงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่

                   ค. ที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์ประธานจะต้องติดกับที่งอกโดยตรง โดยไม่มีอะไรมากั้นขวาง
 ที่งอกริมตลิ่งสังเกตได้ ดังนี้

                        ๑) สิทธิในการครอบครองที่งอกริมตลิ่งนั้นจะต้องดูลักษณะของที่ดินเดิม กล่าวคือ หากที่ดินเดิมเป็นที่ดินมีกรรมสิทธิ์ที่งอกที่เกิดจากที่ดินดังกล่าวก็จะเป็นกรรมสิทธิ์ แต่ถ้าที่ดินเดิมเป็นเพียงสิทธิครอบครองที่งอกที่เกิดจากที่ดินนั้นก็ไม่ใช่กรรมสิทธิ์แต่ได้เพียงสิทธิครอบครอง
                        ๒) ที่ดินที่มีที่งอกไม่จำเป็นต้องไปเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน เจ้าของที่ดินก็ได้ที่งอกนั้นตามกฎหมาย


คำพิพากษาศาลฎีกา

คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๒๘๙/๒๕๒๓

                  เดิมที่พิพาทเป็นที่ชายตลิ่งน้ำท่วมถึงได้เปลี่ยนสภาพเป็นที่น้ำท่วมไม่ถึงมาได้ ๔-๕ ปี ที่พิพาทอยู่หน้าที่ดินโจทก์ด้านริมแม่น้ำและมีทางเดินเล็ก ๆ เรียบริมแม่น้ำอันเป็นทางเดินในที่ดินมีโฉนดของโจทก์ หรืองอกจากที่ดินของโจทก์ ทางเดินนี้แม้ชาวบ้านจะอาศัยใช้เป็นทางสัญจรไปมาก็หาใช่ทางสาธารณะไม่ หากจะเป็นก็เพียงทางภารจำยอม ต้องถือว่าทางเดินดังกล่าวเป็นที่ดินของโจทก์ ที่พิพาทติดกับทางเดินจึงเป็นที่งอกจากที่ดินมีโฉนดของโจทก์และเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์เจ้าของที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๘ ถึงแม้ต่อมาโจทก์จะอุทิศที่ดินที่เป็นทางเดินให้เป็นถนนสาธารณะก็หาทำให้ที่พิพาทที่เป็นที่งอกซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์แล้วเปลี่ยนแปลงไปไม่ และจะถือว่าเป็นที่งอกจากที่สาธารณะมิได้

*** ฎีกาเรื่องนี้ข้อเท็จจริงชัดแจ้งว่าเจตนาจะยกให้เฉพาะส่วนที่อยู่ในโฉนดเท่านั้น ที่งอกซึ่งอยู่นอกโฉนดไม่มีเจตนายกให้ จึงไม่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แต่ถ้าข้อเท็จจริงชัดแจ้งว่ายกให้ทั้งที่อยู่ในโฉนดและที่งอกที่เกิดขึ้นใหม่ ที่ดินทั้งหมดก็เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไป

                         ๓) ที่งอกนั้นเกิดขึ้นโดยธรรมชาติไม่ได้เกิดขึ้นจากการกระทำของมนุษย์
                             

เปรียบเทียบคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๔๙/๒๕๔๓ ซึ่งวินิจฉัยว่า เดิมที่พิพาทเป็นที่ชายตลิ่งที่น้ำท่วมถึงจึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๔ (๒) ที่พิพาทเพิ่งกลายเป็นที่งอกหลังจากมีการสร้างถนนเมื่อ ๔ ถึง ๕ ปี มานี้ ดังนั้น ก่อนหน้าที่พิพาทเป็นที่งอกแม้โจทก์จะครอบครองมานานเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ หลังจากที่พิพาทกลายเป็นที่งอกที่เชื่อมติดกับที่ดินของจำเลยที่ ๑ ที่งอกพิพาทจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ ด้วย เมื่อโจทก์ครอบครองยังไม่ถึง ๑๐ ปี โจทก์จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ตามมาตรา ๑๓๘๒

มาตรา ๑๓๐๙  "เกาะที่เกิดในทะเลสาบ หรือในทางน้ำหรือในเขตน่านน้ำของประเทศก็ดี และท้องทางน้ำที่เขินขึ้นก็ดี เป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน"

มาตรา ๑๓๑๐  บุคคลใดสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตไซร้ ท่านว่าเจ้าของที่ดินเป็นเจ้าของโรงเรือนนั้น ๆ แต่ต้องใช้ค่าแห่งที่ดินเพียงที่เพิ่มขึ้นเพราะสร้างโรงเรือนนั้นให้แก่ผู้สร้าง
               แต่ถ้าเจ้าของที่ดินสามารถแสดงได้ว่า มิได้มีความประมาทเลินเล่อ จะบอกปัดไม่ยอมรับโรงเรือนนั้นและเรียกให้ผู้สร้างรื้อถอนไป และทำที่ดินให้เป็นตามเดิมก็ได้ เว้นไว้แต่ถ้าการนี้จะทำไม่ได้โดยใช้เงินพอสมควรไซร้ ท่านว่าเจ้าของที่ดินจะเรียกให้ผู้สร้างซื้อที่ดินทั้งหมดหรือแต่บางส่วนตามราคาตลาดก็ได้  

*** ข้อสังเกตตามมาตรา ๑๓๑๐
                         ๑.ต้องเป็นการสร้างโรงเรือนทั้งหลังในที่ดินของผู้อื่น หรืออย่างน้อยที่สุดส่วนใหญ่ของโรงเรือนที่สร้างนั้นจะต้องอยู่ในที่ดินของผู้อื่น
                         ๒.การสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นกรณีของการสร้างโดยสุจริตหรือไม่สุจริต ผู้สร้างกับเจ้าของที่ดินจะต้องไม่มีนิติสัมพันธ์ใดๆ ต่อกัน หากผู้สร้างมีนิติสัมพันธ์กับเจ้าของที่ดินก็ไม่อยู่ในบังคับของมาตรานี้
                         ๓. โรงเรือนที่สร้างนั้นจะต้องมีลักษณะเป็นส่วนควบกับที่ดินของผู้อื่นผลของการสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นตามมาตรา ๑๓๑๐เจ้าของที่ดินเป็นเจ้าของโรงเรือนนั้น แต่จะต้องใช้ค่าแห่งที่ดินเพียงที่เพิ่มขึ้นเพราะสร้างโรงเรือนนั้นแก่ผู้สร้าง แต่ถ้าเจ้าของที่ดินแสดงได้ว่าไม่ได้มีความประมาทเลินเล่อ ก็มีสิทธิที่จะให้ผู้สร้างรื้อถอนออกไปพร้อมทั้งทำที่ดินให้เป็นไปตามเดิมได้ความสุจริตตามมาตรา ๑๓๑๐ นั้น จะต้องมีมาโดยตลอดตั้งแต่เริ่มก่อสร้างจนกว่าจะสร้างเสร็จ
ทั้งนี้ มาตรา ๑๓๑๐ จะใช้กับที่ดินที่เป็นของเอกชนเท่านั้น ในกรณีที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินจะอ้างมาตรา ๑๓๑๐ ไม่ได้

มาตรา ๑๓๑๑  บุคคลใดสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นโดยไม่สุจริตไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นต้องทำที่ดินให้เป็นตามเดิมแล้วส่งคืนเจ้าของ เว้นแต่เจ้าของจะเลือกให้ส่งคืนตามที่เป็นอยู่ ในกรณีเช่นนี้เจ้าของที่ดินต้องใช้ราคาโรงเรือนหรือใช้ค่าแห่งที่ดินเพียงที่เพิ่มขึ้นเพราะสร้างโรงเรือนนั้นแล้วแต่จะเลือก

*** ข้อสังเกตตามมาตรา ๑๓๑๑  

                            ๑) เป็นการสร้างโรงเรือนส่วนใหญ่ในที่ดินของผู้สร้างเองหรือในที่ดินที่ผู้สร้างมีสิทธิที่จะสร้างได้ คงมีแต่เพียงส่วนน้อยหรือบางส่วนของโรงเรือนเท่านั้นที่ไปรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่น
                            ๒) เป็นการสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นนั้น การรุกล้ำนั้นต้องเกิดตั้งแต่แรกหรือเป็นการรุกล้ำมาตั้งแต่ขณะแรกที่ทำการสร้าง ถ้าตอนแรกไม่รุกล้ำต่อมามีการต่อเติมรุกล้ำเข้าไปใที่ดินของผู้อื่น ก็ไม่อยู่ในบังคับของมาตรา ๑๓๑๒
                           ๓) ความแตกต่างระหว่างมาตรา ๑๓๑๒ กับ ๑๓๑๔ คือ มาตรา ๑๓๑๔ ไม่ใช่การสร้างรุกล้ำแต่เป็นการที่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ทำหลังคาหรือปลูกสร้างอย่างอื่นมีผลทำให้น้ำฝนตกลงไปยังทรัพย์สินอื่นที่ติดกัน แต่ตัวสิ่งปลูกสร้างหรือก่อสร้างนั้นไม่ได้รุกล้ำ ส่วนมาตรา ๑๓๑๒ เป็นเรื่องที่บางส่วนของตัวโรงเรือนเองหรือบางส่วนของโรงเรือนรุกล้ำ
                             ๔) กรณีเครื่องอุปกรณ์บางอย่างหรือเครื่องอำนวยความสะดวกบางอย่างมาติดตั้งประกอบกับโรงเรือน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ไม่ถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนของโรงเรือนที่จะถือว่าเป็นการรุกล้ำ

คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๐๓๖/๒๕๓๙

                          เสากำแพงที่แยกต่างหากจากเสาโรงเรือน ไม่ใช่ส่วนหนึ่ง ของโรงเรือนอันจะถือเป็นโรงเรือนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๑๒ วรรคแรกฉะนั้นจำเลยจะอ้างว่าก่อสร้างกำแพงรุกล้ำโดยสุจริตไม่ต้องรื้อถอนตามบทกฎหมายดังกล่าวหาได้ไม่

                            ๕) กรณีสร้างโรงเรือนในที่ดินแล้วต่อมามีการแบ่งแยกที่ดิน แล้วปรากฏว่ามีบางส่วนรุกล้ำเข้าไปในที่ดิน ซึ่งมีแนวฎีกาวางไว้ว่าสามารถที่จำนำมาตรา ๑๓๑๒ มาใช้บังคับได้โดยอาศัยมาตรา ๔

คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๘๔๘/๒๕๑๒ 

                   จำเลยมิได้เป็นผู้สร้างตึกพร้อมกันสาดที่พิพาทหากแต่เจ้าของที่ดินเป็นผู้สร้างในที่ดินของตนเองโดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะขณะสร้างยังมิได้แบ่งแยกที่ดินออกเป็นสองแปลง ดังนั้น ถ้าจะบังคับให้รื้อ ก็มีผลเท่ากับจำเลยเป็นผู้สร้าง ตามมาตรา ๑๓๑๒ วรรคสอง ย่อมไม่เป็นธรรม เพราะแม้จำเลยเป็นผู้สร้างรุกล้ำเอง ถ้าโดยสุจริต กฎหมายยังยอมให้จำเลยมีสิทธิใช้ที่ดินในส่วนที่รุกล้ำได้ แล้วไฉนถ้าจำเลยมิได้เป็นผู้สร้างรุกล้ำเอง แต่การที่สร้างนั้นเป็นการสร้างโดยชอบด้วยกฎหมายซึ่งยิ่งกว่าเป็นการสร้างโดยสุจริตเสียอีก แล้วกลับจะถูกบังคับให้รื้อถอน เพราะไม่มีสิทธิจะใช้ กรณีดังกล่าวไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ เมื่อเป็นช่องว่างแห่งกฎหมาย ดังนี้ จึงต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔ มาใช้สำหรับกรณีนี้ไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นที่จะยกมาปรับคดีได้จึงต้องอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งก็คือ มาตรา๑๓๑๒ วรรคแรก คือ จำเลยมีสิทธิใช้ส่วนแห่งแดนกรรมสิทธิ์ที่ดินของโจทก์เฉพาะที่กันสาดรุกล้ำเข้าไปนั้นได้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้จำเลยรื้อ แต่มีสิทธิที่จะเรียกเงินเป็นค่าที่จำเลยใช้ส่วนแห่งแดนกรรมสิทธิ์ที่ดินของโจทก์ต่อไป ตลอดจนการที่จะดำเนินการจดทะเบียนสิทธิเป็นภารจำยอมผลของการสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริต

มาตรา ๑๓๑๒  บุคคลใดสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าของโรงเรือนที่สร้างขึ้น แต่ต้องเสียเงินให้แก่เจ้าของที่ดินเป็นค่าใช้ที่ดินนั้น และจดทะเบียนสิทธิเป็นภาระจำยอม ต่อภายหลังถ้าโรงเรือนนั้นสลายไปทั้งหมด เจ้าของที่ดินจะเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนเสียก็ได้
               ถ้าบุคคลผู้สร้างโรงเรือนนั้นกระทำการโดยไม่สุจริต ท่านว่าเจ้าของที่ดินจะเรียกให้ผู้สร้างรื้อถอนไป และทำที่ดินให้เป็นตามเดิมโดยผู้สร้างเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายก็ได้

โปรดพิจารณาตามคำพิพากษาฎีกาดังต่อไปนี้

คำพิพากษาฎีกาที่ ๗๔๑/๒๕๐๕

                  ปลูกสร้างเรือนในที่ดินของตน ตัวเรือนไม่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่น แต่ชายคาได้รุกล้ำเข้าไปโดยสุจริตนั้นย่อมเป็นการปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๑๒ ไม่ใช่ มาตรา ๑๓๔๑ เพราะตาม มาตรา๑๓๔๑ หมายถึงทำหลังคาหรือการปลูกสร้างอย่างอื่นโดยมิได้รุกล้ำที่ดินของผู้อื่น แต่เมื่อฝนตกน้ำฝนได้ไหลลงไปยังที่ดินหรือทรัพย์สินของผู้อื่นที่ติดต่อกันในกรณีปลูกเรือนรุกล้ำที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตตามมาตรา ๑๓๑๒ นั้น เจ้าของโรงเรือนมีสิทธิขอให้จดทะเบียนสิทธิเป็นภารจำยอมได้ โดยไม่ต้องรอจนเกิน ๑๐ ปี

*** ข้อสังเกต การจดทะเบียนการใช้ที่ดินเป็นภาระจำยอมเป็นการจดทะเบียนโดยอาศัยสิทธิที่มาตรา ๑๓๑๒ ให้ไว้ ไม่ใช่เป็นการได้ภาระจำยอมมาโดยอายุความ ๑๐ ปี เมื่อไม่ใช่เป็นการได้ภาระจำยอมโดยอายุความ ก็ไม่จำเป็นต้องรอให้ครบ ๑๐ ปี ก่อนจึงจะไปจดทะเบียนได้มาคำพิพากษาฎีกาที่ ๓๗๑๓/๒๕๓๔ โจทก์จะบังคับให้จำเลยทั้งสามรื้อถอนระเบียงพิพาทได้ก็ต่อเมื่อจำเลยทั้งสามก่อสร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริตตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๑๒วรรคสอง แต่เมื่อจำเลยทั้งสามซื้อตึกแถวพร้อมระเบียงพิพาทที่รุกล้ำที่ดินของโจทก์อยู่ก่อนแล้ว โดยไม่ปรากฏว่าระเบียงได้สร้างรุกล้ำโดยไม่สุจริต ต้องถือว่าจำเลยเป็นผู้สืบสิทธิของผู้สร้างระเบียงพิพาทรุกล้ำที่ดินของโจทก์โดยสุจริต โจทก์จึงมีสิทธิเพียงแต่จะได้ค่าใช้ที่ดินและยังมีหน้าที่จดทะเบียนภาระจำยอมให้จำเลยทั้งสามด้วย ทั้งนี้โดยนัย ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๑๒ วรรคแรก แต่โจทก์มิได้ขอให้บังคับจำเลยใช้เงินเป็นค่าใช้ที่ดินของโจทก์ ศาลจึงไม่อาจบังคับให้จำเลยใช้เงินดังกล่าวได้

คำพิพากษาฎีกาที่ ๕๙๐๙/๒๕๔๐ 

                    จำเลยร่วมที่ ๑ และที่ ๒ ปลูกสร้างบ้านรุกล้ำที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริต จำเลยร่วมที่ ๑ และที่ ๒ จึงต้องทำที่ดินให้เป็นตามเดิมแล้วส่งคืนเจ้าของ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๑๑ และจำเลยผู้สืบสิทธิของเจ้าของเดิมผู้ปลูกสร้างบ้านโดยไม่สุจริตย่อมไม่ได้รับความคุ้มครอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๑๒ เช่นกันถ้าต่อมาโรงเรือนนั้นสลายไปทั้งหมดเจ้าของที่ดินจะเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนภาระจำยอมก็ได้ และถ้าสลายไปเฉพาะส่วนที่รุกล้ำทั้งหมด ก็เพียงพอที่จะขอให้เพิกถอนได้เช่นเดียวกัน
มาตรา ๑๓๑๒ วรรคสอง เป็นเรื่องของการสร้างโรงเรือนรุกล้ำที่ดินของผู้อื่นโดยไม่สุจริตเจ้าของที่ดินมีสิทธิที่จะเรียกให้ผู้สร้างโรงเรือนรุกล้ำรื้อถอนในส่วนที่รุกล้ำนั้นออกไปก็ได้ หรือจะเรียกร้องเอาค่าใช้ที่ดินโดยยอมให้ส่วนที่รุกล้ำนั้นเป็นภาระจำยอมของผู้ก่อสร้าง

คำพิพากษาฎีกาที่ ๙๐๔/๒๕๑๗ 

                 ที่ดินและอาคารของโจทก์และของจำเลยร่วมอยู่ติดกันโดยต่างรับซื้อมาจากบุคคลอื่นกันสาดของอาคารที่จำเลยร่วมซื้อได้รุกล้ำที่ดินที่โจทก์ซื้ออยู่ก่อนแล้ว ต่อมาจำเลยร่วมได้สร้างห้องน้ำบนกันสาดนั้น อันเป็นการใช้ส่วนแห่งแดนกรรมสิทธิ์ที่ดินของโจทก์เฉพาะที่กันสาดรุกล้ำเข้าไปนั้นสืบต่อจากเจ้าของเดิมโดยจำเลยร่วมมิได้ขออนุญาตต่อผู้ใด ถือได้ว่าจำเลยร่วมได้สร้างห้องน้ำขึ้นโดยสุจริตย่อมได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๑๒ และ ข้อเท็จจริงก็ฟังได้ว่าจำเลยร่วมใช้สิทธิโดยอำนาจปรปักษ์เกินกว่า ๑๐ ปีแล้วกันสาดและห้องน้ำเหนือที่ดินของโจทก์ย่อมตกอยู่ในภารจำยอมโจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องขอให้จำเลยรื้อห้องน้ำบนกันสาดนั้นเจ้าของที่ดินมีเงื่อนไขสร้างโรงเรือนในที่ดินนั้น

มาตรา ๑๓๑๓ ถ้าผู้เป็นเจ้าของที่ดินโดยมีเงื่อนไขสร้างโรงเรือนในที่ดินนั้น และ ภายหลังที่ดินตกเป็นของบุคคลอื่นตามเงื่อนไขไซร้ ท่านให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วย ลาภมิควรได้มาใช้บังคับ

เจ้าของที่ดินมีเงื่อนไข” ทั้งนี้ความหมายของมาตรา ๑๓๑๓ อาจแบ่งได้เป็น ๒ ประเภทคือ

                  ๑. เป็นเจ้าของที่ดินที่มีเงื่อนไขบังคับหลัง (สิ้นผลเมื่อเงื่อนไขนั้นสำเร็จ)
                  ๒. เป็นเจ้าของที่ดินที่มีเงื่อนไขห้ามโอนตามมาตรา ๑๗๐๐ หรือเรียกว่าข้อกำหนดห้ามโอนสร้างสิ่งอื่น ปลูกต้นไม้ หรือธัญชาติในที่ดินของผู้อื่น


@ เนื้อหาในเรื่อง "ทรัพย์" นี้ค่อนข้างจะยาว ผู้เขียนเองก็พยายามจะเขียนให้ย่นย่อและให้เข้าใจได้ง่าย แต่ก็ไม่อยากตัดย่อยออกเป็นหลายตอนมากนัก จึงได้เขียนต่อเนื่องกันโดยแบ่งออกเป็นสามตอน และคาดหวังไว้ว่าอาจมีประโยชน์แก่ทุกท่านที่เข้ามาอ่านได้บ้าง ไม่มากก็น้อย

ด้วยจิตคารวะ
By กานต์

๕๑๖/๖๐, ๑๒.๕๔

ไม่มีความคิดเห็น:

มุมมองทิเบตในสายตาของข้าพเจ้า

  ตอนที่ ๑           บทความวันนี้ข้าพจ้ามีความตั้งใจขอเสนอเรื่องราวของชาวทิเบต หลายท่านที่เคยติดตามข้าพเจ้ามาก่อนหน้านี้ จะทราบว่าข้าพเจ้ามี...