วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

วิธีพิจารณาคดีเด็กและเยาวชน/มาตรการพิเศษแทนการดำเนินคดีอาญา


วิธีพิจารณาคดีเด็กและเยาวชนและมาตรการพิเศษแทนการดำเนินคดีอาญา

                      บทความครั้งก่อนผู้เขียนได้เขียนเรื่อง การกระทำความผิดของเด็กและเยาวชน, การคุ้มครองเด็ก และความรุนแรงในครอบครัว โดยผู้เขียนได้สอดแทรก เนื้อหาเกี่ยวกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ไว้ในเนื้อหาบางส่วนด้วย ไหนๆ ผู้เขียนก็เขียนเรื่องของเด็กและเยาวชนแล้ว วันนี้จึงอยากมาเขียนเรื่องวิธีพิจารณาคดีเด็กและเยาวชน และวิธีการเพื่อความปลอดภัยสำหรับเด็กเสียให้จบกระบวนการสำหรับเด็ก โดยผู้เขียนจะเขียนวิธีการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยสรุป เพื่อมิให้เนื้อหายืดยาวเกินไปนัก หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคงยังประโยชน์แก่ผู้อ่านบ้างไม่มากก็น้อย
                       พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.๒๕๕๓ ซึ่งเหตุผลที่ประกาศใช้พระราชบัญญัตินี้ คือ เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยทีปัจจุบันได้มีการแยกศาลยุติธรรม ออกจากกระทรวงยุติธรรม โดยมีสํานักงานศาลยุติธรรมเป็นหน่วยธุรการของศาลยุติธรรมที่เป็นอิสระ และกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม สมควรปรับปรุง กฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวให้สอดคล้องกับอํานาจหน้าที่และโครงสร้างใหม่ประกอบกับสมควรปรับปรุงในส่วนที่เกี่ยวกับการให้ความคุ้มครองสิทธิสวัสดิภาพ และวิธีปฏิบัติต่อเด็ก เยาวชน สตรี และบุคคลในครอบครัว รวมทั้งในส่วนของกระบวนการ พิจารณาคดีของศาลเยาวชนและครอบครัว เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก และอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ จึงจําเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ : หมายเหตุท้ายประกาศ

                         ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกับคำนิยามตามพระราชบัญญัตินี้เสียก่อน คำนิยามนี้มีบัญญัติไว้ในมาตรา ๔ โดยให้ความหมายต่างๆ ไว้ดังนี้ 

                           (๑) เด็ก หมายความว่า บุคคลอายุยังไม่เกินสิบห้าปีบริบูรณ์

                           (๒) เยาวชน หมายความว่า บุคคลอายุเกินสิบห้าปีบริบูรณ์แต่ยังไม่ถึงสิบแปดปีบริบูรณ์

                     (๓) คดีเยาวชนและครอบครัว หมายความว่า คดีที่ศาลเยาวชนและครอบครัวมีอำนาจพิจารณา พิพากษาตามพระราชบัญญัตินี้

                           (๔) คดีครอบครัว หมายความว่าคดีแพ่งที่ฟูองหรือร้องขอต่อศาล หรือกระทำการใดๆในทางศาล เกี่ยวกับผู้เยาว์หรือครอบครัวซึ่งจะต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียน ครอบครัว หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวกับครอบครัว

                           (๕) คดีคุ้มครองสวัสดิภาพ หมายความว่า คดีที่ฟูองหรือร้องขอต่อศาลหรือกระทำการใดๆ ในทางศาลเกี่ยวกับการคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กหรือบุคคลในครอบครัว ซึ่งจะต้องบังคับตามกฎหมายว่าด้วย การคุ้มครองเด็ก กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวหรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวกับ การคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กหรือบุคคลในครอบครัว

                           (๖) คดีธรรมดา หมายความว่าคดีอื่น ๆ นอกจากคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว

                           (๗) ศาลเยาวชนและครอบครัว หมายความว่าศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัด หรือแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลจังหวัดซึ่งจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัตินี้

                           (๘) ศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว หมายความว่า ศาลเยาวชนและครอบครัวศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว ศาลอุทธรณ์ภาคแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวและศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวซึ่งจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัตินี้

                          จะเห็นว่าคำนิยามตาม (๑) และ (๒) นั้น ได้ระบุเกณฑ์อายุของเด็กและเยาวชนไว้อย่างชัดเจนเพื่อให้ง่ายต่อการพิจารณาว่า ผู้ที่กระทำความผิดทางอาญานั้นเป็นเด็ก หรือเยาวชนหรือไม่ เมื่อได้ทราบแล้วว่าการกระทำนั้นเป็นการกระทำของเด็ก หรือเยาวชน เราก็จะทราบถึงวิธีพิจารณาความและเขตอำนาจศาล ซึ่งหากความผิดที่เกิดจากการกระทำจากเด็ก หรือเยาวชนแล้ว ศาลที่มีอำนาจพิจารณาคือ ศาลเยาวชนและครอบครัว ที่เด็ก หรือเยาวชนนั้นมีภูมิลำเนาอยู่  การกระทำความผิดในคดีอาญาที่มีข้อหาว่าเด็กหรือเยาวชนกระทำความผิด ให้ถืออายุเด็ก หรือเยาวชนในวันที่การกระทำความผิดได้เกิดขึ้น  (มาตรา ๕) ซึ่งหมายความว่า เมื่อมีผู้กล่าวหาว่า ได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น เราต้องพิจารณาจากอายุของผู้กระทำว่า อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ ซึ่งต้องนับในวันที่ความผิดเกิดขึ้น

                        เมื่อเด็ก หรือเยาวชนได้กระทำความผิดทางอาญาแล้ว การสอบสวนบุคคลดังกล่าวนี้ กฎหมายได้กำหนดห้ามมิให้จ้าพนักงานจับกุมเด็กซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิด ยกเว้นแต่เด็กนั้นได้กระทำความผิดซึ่งหน้า หรือมีหมายจับ หรือมีคำสั่งของศาล และการจับกุมเยาวชนซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๖๖ และห้ามมิให้ควบคุม คุมขัง กักขัง คุมความประพฤติหรือใช้มาตรการอันมีลักษณะเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพเด็กหรือเยาวชนซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดหรือเป็นจำเลย เว้นแต่มีหมาย หรือมีคำสั่งศาลหรือเป็นกรณีการควบคุมตัวเท่าที่จำเป็น ซึ่งเจ้าพนักงานผู้จับต้องแจ้งแก่เด็ก หรือเยาวชนนั้นว่า เขาต้องถูกจับ และต้องแจ้งข้อกล่าวหารวมทั้งสิทธิต่างๆตามกฎหมายให้ทราบ หากมีหมายจับต้องแสดงหมายจับให้แก่ผู้ถูกจับ แล้วนำตัวเด็ก หรือเยาวชนนั้นไปยังที่ทำการของพนักงานสอบสวนที่ถูกจับทันที และหากในขณะถูกจับกุม มีบิดา มารดา หรือ ผู้ปกครองหรือผู้แทนองค์กรซึ่งเด็ก หรือเยาวชนอาศัยอยู่ด้วย ในขณะนั้น ให้เจ้าพนักงานผู้จับแจ้งเหตุแห่งการจับให้บุคคลดังกล่าวทราบ และในกรณีความผิดอาญาซึ่งมีอัตราโทษอย่างสูง ตามที่กฎหมายกําหนดไว้ให้จำคุกจําคุกไม่เกินห้าปี  เจ้าพนักงานพนักงานผู้จับจะ สั่งให้บุคคลดังกล่าวเป็นผู้นําตัวเด็ก หรือเยาวชนนั้นไปยังที่ทําการของพนักงานสอบสวนก็ได้ แต่ถ้าในขณะนั้นไม่มีบุคคลดังล่าวอยู่กับผู้ถูกจับให้เจ้าพนักงานผู้จับแจ้งให้บุคคลดังกล่าวคนใด คนหนึ่งทราบถึงการจับกุมในโอกาสแรกเท่าที่สามารถกระทําได้ และหากผู้ ถูกจับประสงค์จะ ติดต่อสื่อสารหรือปรึกษาหารือกับบุคคลเหล่านั้น ซึ่งไม่เป็นอุปสรรคต่อการจับกุมและอยู่ในวิสัยที่จะ ดําเนินการได้ ให้เจ้าพนักงานผู้จับดําเนินการให้โดยไม่ชักช้า  (มาตรา ๖๙)   

                            ดังนั้น ในการจับกุมและควบคุมเด็ก หรือยาวชน เจ้าพนักงานต้องกระทําโดยละมุนละม่อมโดยคํานึงถึงศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์และไม่เป็นการประจานเด็กหรือเยาวชนจนเกินไป และห้ามมิให้ใช้วิธีการควบคุมเกินกว่าที่จําเป็นเพื่อปองกันการหลบหนี หรือเพื่อความปลอดภัยของเด็ก หรือเยาวชนผู้ถูกจับหรือบุคคลอื่น รวมทั้งมิให้ใช้เครื่องพันธนาการแก่เด็กไม่ว่ากรณีใด ๆ เว้นแต่มีความจําเป็นเพื่อ ปองกันการหลบหนี หรือเพื่อความปลอดภัยของเด็กที่ถูกจับ หรือผู้อื่น ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่จับทําบันทึก การจับกุม โดยแจ้งข้อกล่าวหา และรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุแห่งการจับให้เด็ก หรือเยาวชนที่ถูกจับทราบ  แต่ห้ามไม่ให้เจ้าพนักงานถามคําให้การเด็ก หรือเยาวชนที่ถูกจับ หากขณะทําบันทึกดังกล่าวมีบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือบุคคลหรือผู้แทน องค์การซึ่งเด็กหรือเยาวชนอาศัยอยู่ด้วยในขณะนั้น ต้องกระทําต่อหน้าบุคคลดังกล่าว และจะให้ลงลายมือชื่อเป็นพยานด้วยก็ได้  ถ้อยคําต่างๆ ของเด็กหรือเยาวชนในชั้นจับกุมมิให้ศาลรับฟังเป็นพยานเพื่อ พิสูจน์ความผิดของเด็กหรือหรือเยาวชน แต่ศาลสามารถนํามาฟังเป็นคุณแก่เด็กหรือเยาวชนได้         และเมื่อได้นำเด็ก หรือเยาวชน มายังที่ทำการของพนักงานสอบสวนแล้ว ให้นำตัวเด็ก หรือเยาวชนไปศาลเพื่อตรวจสอบการจับกุม ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง หากเด็ก หรือเยาวชนนั้นมีบิดา มารดา ผู้ปกครองหรือบุคคลหรือองค์การซึ่งเด็ก หรือเยาวชนอาศัยอยู่ด้วย และบุคคลหรือองค์การดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ายังสามารถปกครองดูแลเด็กหรือเยาวชนนั้นได้ ให้พนักงานสอบสวนมอบตัวเด็กหรือเยาวชนให้แก่บุคคลดังกล่าวไปปกครองดูแล โดยสั่งให้นำตัวเด็กหรือเยาวชนไปยังศาลภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง และหากมีพฤติการณ์น่าเชื่อว่าเด็กหรือเยาวชนจะไม่ไปศาล พนักงานสอบสวนจะให้บุคคลดังกล่าวประกันตัวเด็ก หรือเยาวชนนั้นก็ได้  และเมื่อเจ้าพนักงานนำตัวเด็ก หรือเยาวชนไปศาล กฎหมายกำหนดให้ศาลตรวจสอบว่าเป็นเด็กหรือเยาวชนซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดหรือไม่ การจับและการปฏิบัติต่อเด็กหรือเยาวชนเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ หากการจับเป็นไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ก็ให้ปล่อยตัวเด็กหรือเยาวชนไป ถ้าเด็กหรือเยาวชนยังไม่มีที่ปรึกษากฎหมาย ให้ศาลแต่งตั้งที่ปรึกษากฎหมายให้เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิของเด็ก หรือเยาวชน

                  ในกรณีที่เด็ก หรือเยาวชนมีบิดา มารดา ผู้ปกครองหรือบุคคลหรือองค์การซึ่งเด็ก หรือเยาวชนอาศัยอยู่ด้วย ศาลอาจให้บุคคลเหล่านั้นเป็นผู้ดูแลเด็กหรือเยาวชนในระหว่างการดำเนินคดีโดยจะกำหนดให้บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่นำตัวเด็ก หรือเยาวชนนั้นไปพบพนักงานสอบสวนหรือพนักงานคุมประพฤติหรือศาล แล้วแต่กรณี และหากปรากฏข้อเท็จจริงว่าการกระทำของเด็กหรือเยาวชนมีลักษณะหรือพฤติการณ์ที่อาจเป็นภัยต่อบุคคลอื่นอย่างร้ายแรง หรือมีเหตุสมควรประการอื่น ศาลอาจมีคำสั่งให้ควบคุมเด็ก หรือเยาวชนซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดไว้ในสถานพินิจหรือในสถานที่อื่นที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายและตามเห็นสมควรก็ได้ และหากเยาวชนนั้นมีอายุตั้งแต่สิบแปดปีบริบูรณ์ขึ้นไป และมีลักษณะหรือพฤติการณ์ที่อาจเป็นภัยต่อบุคคลอื่น หรือมีอายุเกินยี่สิบปีบริบูรณ์แล้ว ศาลอาจมีคำสั่งให้ควบคุมไว้ในเรือนจำหรือสถานที่อื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

                   หากเราพิจารณาวิธีการสอบสวนดังกล่าวที่ผู้เขียนสรุปย่อๆ มาให้จะเห็นได้ว่า กฎหมายได้ให้ความคุ้มครองแก่เด็ก และเยาวชนที่กระทำความผิด โดยให้เจ้าพนักงานปฏิบัติต่อผู้กระทำความผิดอย่างเหมาะสม ที่สำคัญหากเด็ก หรือเยาวชนนั้น ไม่มีที่ปรึกษากฎหมายศาลต้องตั้งที่ปรึกษากฎหมายให้ด้วย และก่อนที่ศาลมีคำสั่งควบคุมหรือคุมขังเด็กหรือเยาวชนซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดหรือซึ่งเป็นจำเลยทุกครั้ง ให้ศาลสอบถามเด็กหรือเยาวชนหรือที่ปรึกษากฎหมายของเด็กหรือเยาวชนนั้นว่าจะมีข้อคัดค้านหรือไม่ ซึ่งหมายถึงว่า ก่อนที่จะดำเนินกระบวนการใดๆ ต่อศาล ไม่ว่าการตรวจสอบการจับกุม การไต่สวน จำต้องจัดให้เด็ก หรือเยาวชนนั้นมีที่ปรึกษากฎหมาย เพื่อให้เด็ก หรือเยาวชนนั้น ได้รับคำปรึกษาจากที่ปรึกษากฎหมายเป็นเบื้องต้น ซึ่งเป็นไปตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก เพื่อให้เด็กได้รับการปฏิบัติ และได้รับการพิจารณาคดีด้วยความเหมาะสม


มาตรการพิเศษแทนการดำเนินคดีอาญา


                            เมื่อได้ศึกษาถึงวิธีพิจารณาคดีไปในเบื้องต้น แล้วพระราชบัญญัตินี้ยังกำหนดมาตรการพิเศษแทนการดำเนินคดีอาญาสำหรับเด็กและเยาวชนที่กระทำความผิดด้วย ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเป้าหมายของการดำเนินคดีแก่บุคคลที่กระทำการอัน กฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด คือ การนำตัวผู้กระทำผิดนั้นมาฟ้องลงโทษ ดังนั้นกระบวนการทุกขั้นตอนในวิธีพิจารณาความอาญาไม่ว่าจะเป็น การจับ ควบคุม สอบสวน ฟ้องคดี และการพิจารณาพิพากษาของศาล ย่อมมีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาความจริงจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากพยาน หลักฐานต่างๆ ว่า ผู้ต้องหาหรือจำเลยนั้นเป็นผู้กระทำผิดจริงหรือไม่ และควรจะได้รับโทษอย่างไร  ส่วนในการดำเนินคดีอาญาแก่เด็กและเยาวชน ซึ่งกระทำการอันกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิดนั้น มิได้มีเป้าหมายจำกัดเพียงวัตถุประสงค์ของการดำเนินคดีอาญาโดยทั่วไปข้างต้น แต่รวม ถึงการค้นหาสาเหตุแห่งการกระทำผิด สภาพแวดล้อมและสภาพของ เด็กและเยาวชน อันเป็นเหตุให้เขาเหล่านั้นกระทำผิด ทั้งนี้เพื่อให้เจ้าพนักงานหรือศาลทราบถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้ และหาวิธีการที่เหมาะสมสำหรับเด็กและเยาวชนเหล่านั้นเพื่อเปลี่ยนแปลงเขาให้กลับตัวเป็นคนดี เนื่องจากการที่บุคคลแต่ละคนกระทำผิดย่อมมีสาเหตุที่แตกต่างกันไป ดังนั้นวิธีการแก้ไขจึงต้องใช้วิธีการที่เหมาะสมแก่ผู้กระทำผิดเฉพาะรายซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการที่เหมือนกัน หรือต้องใช้การลงโทษเสมอไป ด้วยเหตุนี้ กฎหมายเกี่ยวกับความผิดเด็กและเยาวชนของไทยจึงมีบทบัญญัติให้ศาลใช้วิธีการสำหรับเด็กแทนการลงโทษได้ แต่เนื่องจากเด็กและเยาวชนเป็นพลเมืองที่จะต้องเติบโตเป็นกำลังของ สังคมในอนาคต การดำเนินคดีอาญาแก่เด็กและเยาวชนจึงต้องมีหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้เป็นพิเศษ เพื่อปกป้องและคุ้มครองความเสียหายจากการที่เด็กหรือเยาวชนนั้นถูกดำเนินคดีอาญาในฐานะผู้ต้องหาหรือจำเลย จึงได้ตรากฎหมายขึ้นมาใหม่ คือพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๓๔ โดยยกเลิกพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ. ๒๔๙๔ และพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ. ๒๔๙๔    เสีย       ซึ่งแนวคิดในการใช้มาตรการพิเศษแทนการดำเนินคดีอาญามองว่าเด็กหรือเยาวชนที่กระทำความผิดมีสาเหตุที่แตกต่างกันออกไปโดยสมัยก่อนมองว่าการที่เด็กและเยาวชนกระทำความผิดนั้นเป็นเพราะด้วยฐานะยากจนหรือด้วยความคึกคะนองการลงโทษเด็กด้วยวิธีเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ที่กระทำความผิดอาจก่อให้เกิดปัญหาในอนาคตกับเด็กหรือเยาวชนในการอยู่ร่วมกับสังคมและเมื่อพิจารณาถึงฐานะความเป็นอยู่ของเด็กหรือเยาวชนแล้วสังคมย่อมมีส่วนสำคัญในการก่อให้เกิดแรงกระตุ้นของเด็กหรือเยาวชนในการกระทำความผิด เมื่อสังคมเป็นสังคมที่เสียระเบียบ (Social Disorganization) จึงเป็นพื้นฐานของการก่ออาชญากรรมและการกระทำคามผิดของเด็กอีก และสาเหตุหนึ่งคือความยากจน ร่อนเร่ หิวโหยและที่สำคัญคือการไม่ได้รับการศึกษาตามสมควรจึงทำให้มีเวลาว่างเวลาทำให้เรียนรู้ในสิ่งที่ไม่ดีไม่งามรวมถึงการถูกชักจูงไปในทางที่ผิด ส่วนการแสดงออกของเด็กที่ประพฤติตนไม่เหมาะสมนั้นล้วนแต่เป็นการโต้ตอบจากแรงผลักดัน ภายในที่โต้ตอบสิ่งแวดล้อมภายนอกเท่านั้น เช่นการต้องการแสดงตนเหนือผู้อื่นในรูปแบบของการเป็นผู้นำหรือหัวหน้า (Ego) อัน เป็นการระบายออกแก่ตนเอง


หลักเกณฑ์และวิธีดำเนินการตามมาตรา ๘๖, ๙๐, ๙๑ และ ๙๒


                    ข้อ ๑ ต้องหาว่ากระทำความผิดมีอัตราโทษอย่างสูงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกไม่เกินห้าปีไม่ว่าจะมีโทษปรับด้วยหรือไม่ก็ตามเมื่อรับแจ้งการจับกุมหรือการแจ้งข้อกล่าวหาเด็กหรือเยาวชนจากพนักงานสอบสวนไม่ต้องรอให้ปรากฏตามสำนวนการสอบสวนว่าเด็กหรือเยาวชนได้กระทำผิดดังในกฎหมายฉบับปี ๒๔๙๔ และความผิดที่ต้องหามีอัตราโทษอย่างสูงที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกไม่เกินห้าปีไม่ว่าจะมีโทษปรับด้วยหรือไม่ก็ตาม โดยให้ดูจากอัตราโทษอย่างสูงตามที่มีกำหนดในกฎหมายยังไม่ต้องพิจารณาไปถึงโทษที่อาจได้ลด เช่น การได้ลดมาตราส่วนโทษเพราะความผิดที่ต้องหายังกระทำไม่สำเร็จจึงอยู่ในขั้นพยายามกระทำผิดหรือได้รับการลดโทษด้วยเหตุแห่งอายุอัตราโทษนั้นนำมาพิจารณาเฉพาะโทษจำคุก ส่วนโทษปรับนั้นจะมีด้วยหรือไม่ก็ตาม ไม่ต้องนำเกณฑ์โทษปรับมาประกอบการพิจารณาใช้มาตรการพิเศษแทนการดำเนินคดีอาญานี้

                    ข้อ ๒ การได้รับโทษจำคุก หมายถึง การรับโทษจำคุกจริงตามคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุด ให้ลงโทษจำคุกและในความผิดที่รับโทษนั้นมิใช่ความผิดที่กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ดังนั้นหากเด็กหรือเยาวชนไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน หรือเคยรับโทษจำคุกแต่เป็นความผิดที่กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษย่อมอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะได้รับการพิจารณาให้นำมาตรการพิเศษแทนการดำเนินคดีอาญามาใช้ หากศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุก แต่รอการลงโทษไว้ ต้องถือว่าไม่เคยรับโทษจำคุก หรือศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกแต่เปลี่ยนโทษเป็นฝึกอบรมก็เช่นกันถือว่าเด็กหรือเยาวชนนั้นไม่เคยได้รับโทษจำคุก

                  ข้อ ๓ เด็กหรือเยาวชนต้องสำนึกในการกระทำก่อนฟ้องคดีการแก้ไขต้องเริ่มจากผู้กระทำต้องรู้ว่าสิ่งที่ตนทำลงนั้นเป็นสิ่งผิดซึ่งความรู้สึกผิดจะก่อให้เกิดการพัฒนาพฤติกรรมให้ดียิ่งขึ้น  อะไรเป็นข้อบ่งชี้ว่าเด็กหรือเยาวชนสำนึกในการกระทำ ความหมายในพจนานุกรม สำนึก แปลว่า "รู้สึก หรือ รู้ตัวว่าผิดแล้วไม่คิดจะทำต่อไป" ซึ่งในทางปฏิบัติจะใช้หลักเกณฑ์ใดในการตัดสินใจ แค่รับสารภาพว่ากระทำผิดจริง หรือรับสารภาพตามข้อกล่าวหาเพียงพอหรือไม่ การรับสารภาพอาจมิได้มาจากการสำนึกก็ได้ แต่ก็อาจเป็นส่วนหนึ่งที่จะนำมาพิจารณาต่อว่า สารภาพด้วยสำนึกหรือไม่ และการสารภาพแล้วมีข้อบ่งชี้ใดที่จะน่าเชื่อว่าเขารู้ตัวว่าผิดแล้ว และไม่คิดจะทำต่อไป เช่น การเยียวยาผู้เสียหาย คำมั่นว่าจะไม่กระทำเช่นนั้นอีก  ผู้ดำเนินงานต้องอ่านพฤติกรรมของเด็กและเยาวชนให้ออก ดูพฤติการณ์แวดล้อมว่าน่าเชื่อเพียงใดแต่ก็ไม่ควรวิตกกังวลจนเกินไป  ขั้นตอนในการสำนึกอาจแสดงตั้งแต่ชั้นสอบถามปากคำ หรือแสดงออกในขั้นตอนของการประชุมจัดทำแผน ซึ่งก็ยังอยู่ในห้วงเวลาก่อนการฟ้องคดีแต่โดยปกติการสำนึกต้องเป็นข้อที่พนักงานคุมประพฤติต้องใช้ประกอบในการพิจารณาเสนอใช้มาตรการพิเศษแทนการดำเนินคดีอาญา จึงควรอยู่ในช่วงการถามปากคำ

                ข้อ ๔ ผู้อำนวยการสถานพินิจฯ เห็นว่าเด็กหรือเยาวชนอาจกลับตนเป็นคนดีได้โดยไม่ต้องฟ้องนั้น มีข้อเท็จจริงที่ต้องคำนึงถึงได้แก่ อายุ ประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาอบรม สภาพร่างกาย สภาพจิต อาชีพ ฐานะ และสาเหตุแห่งการกระทำผิด ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวมีลักษณะเดียวกับข้อเท็จจริง ตามมาตรา ๓๖ (๑)

                     ข้อ ๕ เมื่อผู้อำนวยการสถานพินิจฯ ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าเด็กหรือ เยาวชนอาจกลับตนเป็นคนดีได้โดยไม่ต้องฟ้อง ก็จะมีคำสั่งให้ใช้มาตรการพิเศษแทนการดำเนินคดีอาญา ซึ่งก็จะต้องมีการจัดทำแผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟู เป้าหมายในการจัดทำแผนได้แก่

                             ๕.๑ แก้ไขปรับเปลี่ยนความประพฤติ

                             ๕.๒  บรรเทา ทดแทน หรือชดเชยความเสียหาย

                             ๕.๓ สร้างความปลอดภัยของชุมชนและสังคม

                  ข้อ ๖ การจัดทำแผนต้องได้รับความยินยอมจากผู้เสียหาย และเด็กหรือเยาวชนประเด็นนี้มีการ ตีความว่าหากในคดีไม่มีผู้เสียหายก็ไม่สามารถใช้มาตรการพิเศษนี้ได้แต่บางศาลก็ตีความว่าการที่จะต้อง ได้รับความยินยอมจากผู้เสียหาย หมายถึงเฉพาะคดีที่มีผู้เสียหายเท่านั้น หากไม่มีผู้เสียก็สามารถดำเนินการ ได้ ซึ่งประเด็นปัญหานี้อยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อขอแก้ไขกฎหมาย

                  ข้อ ๗  เสนอความเห็นประกอบแผนให้พนักงานอัยการพิจารณา  กฎหมายกำหนดเพียงให้เสนอความเห็นประกอบแผน ดังนั้น การจะเสนอความเห็นก็ต้อง มีข้อเท็จจริงก่อนจึงจะมีความเห็นและมีแผนได้ โดยข้อเท็จจริงต้องมีครบทุกเรื่องตามมาตรา ๓๖ (๑) พนักงานอัยการจึงจะสามารถพิจารณาได้ว่าแผนนั้นเหมาะสมหรือไม่

                   ข้อ ๘ ในการพิจารณาสั่งของพนักงานอัยการอาจสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งคือ

                                       ๘.๑ ไม่เห็นชอบให้แก้ไขแผน หรือให้ดำเนินคดีปกติ

                                      ๘.๒ เห็นชอบให้ดำเนินการตามแผน การเสนอความเห็นต่อพนักงานอัยการจะมีการนำเสนอสองครั้ง ครั้งแรกเป็นการเสนอความเห็น ประกอบแผน ครั้งที่สองเป็นการเสนอผลการดำเนินการตามแผน และเห็นว่าเด็กหรือเยาวชนอาจกลับตน เป็นคนดีได้โดยไม่ต้องฟ้อง การรายงานต่อศาลก็รายงานสองครั้งเช่นกัน ครั้งแรกรายงานเมื่อพนักงานอัยการเห็นชอบกับ แผนครั้งที่สองรายงานเมื่อพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง ทั้งนี้หลักเกณฑ์ที่กล่าวข้างต้นเป็นไปตามกฎหมายอาจมีรายละเอียดยิ่งขึ้นตามระเบียบที่อธิบดี กำหนด คือ ระเบียบกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการ จัดทำแผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟู พ.ศ.๒๕๔๕"
มาตรการพิเศษแทนการดำเนินคดีอาญาตามมาตรา ม.๙๐-๙๑

             มาตรา ๙๐  เมื่อมีการฟ้องคดีต่อศาลว่าเด็กหรือเยาวชนกระทำความผิดอาญาซึ่งมีอัตราโทษ อย่างสูงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกไม่เกินยี่สิบปี ไม่ว่าจะมีโทษปรับด้วยหรือไม่ก็ตาม ถ้าปรากฏว่าเด็กหรือเยาวชนไม่เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำ คุกมาก่อน เว้นแต่เป็นความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ก่อนมีคำพิพากษา หากเด็กหรือเยาวชนสำนึกในการกระทำและผู้เสียหายยินยอมและโจทก์ไม่คัดค้าน เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าพฤติการณ์แห่งคดีไม่เป็นภัยร้ายแรงต่อสังคมเกิน สมควร และศาลเห็นว่าเด็กหรือเยาวชนอาจกลับตนเป็นคนดีได้ และผู้เสียหายอาจได้รับการชดเชยเยียวยาตามสมควรหากนำวิธีจัดทำแผนแก้ไขบำบัด ฟื้นฟู ซึ่งเป็นประโยชน์ต่ออนาคตของเด็กหรือเยาวชนและต่อผู้เสียหายมากกว่าการ พิจารณาพิพากษา ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้อำนวยการสถานพินิจหรือบุคคลที่ศาลเห็นสมควรจัดให้มีการ ดำเนินการเพื่อจัดทำแผนดังกล่าว โดยมีเงื่อนไขให้เด็กหรือเยาวชน บิดา มารดา ผู้ปกครอง บุคคลหรือองค์การซึ่งเด็กหรือเยาวชนอาศัยอยู่ด้วยปฏิบัติ แล้วเสนอต่อศาลเพื่อพิจารณาภายในสามสิบวันนับแต่ที่ศาลมีคำสั่ง หากศาลเห็นชอบด้วยกับแผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟูให้ดำเนินการตามนั้นและให้มีคำสั่ง จำหน่ายคดีไว้ชั่วคราว หากศาลไม่เห็นชอบ ให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป

                มาตรา ๙๑  การประชุมผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำแผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟูตามมาตรา ๙๐ ให้ผู้อำนวยการสถานพินิจ หรือบุคคลที่ศาลเห็นสมควรเป็นผู้ประสานการประชุม โดยให้มีผู้เข้าร่วมประชุมตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๘๗  ทั้งนี้ พนักงานอัยการจะเข้าร่วมประชุมด้วยก็ได้
                หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดทำแผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟูตามมาตรา ๙๐ ให้เป็นไปตามข้อบังคับของประธานศาลฎีกา

               มาตรา ๙๒  ในกรณีที่ผู้มีหน้าที่ปฏิบัติตามแผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟูที่ศาลเห็นชอบฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามหรือมีเหตุจำเป็นต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงแผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟู นั้น ให้ผู้อำนวยการสถานพินิจหรือบุคคลที่ศาลสั่ง

หลักเกณฑ์
                ๑.คดีอาญาซึ่งมีโทษอย่างสูงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกไม่เกินยี่สิบปี
                ๒.เด็กหรือเยาวชนไม่เคยได้รับโทษจำคุก โดนคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้น ประมาทหรือลหุโทษ
                ๓.หากเด็กหรืเยาวชนสำนึกในการกระทำและผู้เสียหายยินยอม
                ๔.โจทก์ไม่คัดค้าน
                ๕.ข้อเท็จจริงปรากฏว่าพฤติการณ์แห่งคดีไม่เป็นภัยร้ายแรงต่อสังคมเกินสมควร
                ๖.ศาลเห็นว่าเด็กหรือเยาวชนอาจกลับตัวเป็นคนดีได้
                ๗.ผู้เสียหายอาจได้รับการชดเชยเยียวยาตามสมควร
                ๘. หากทำวิธีจัดทำแผนแก้ไขเยาวชนอาจกลับตัวเป็นคนดีได้
               ๙.ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้อำนวยการสถานพินิจ หรือบุคคลที่ศาลเห็นสมควรจัดให้มีการดำเนินการเพื่อจัดทำแผนดังกล่าว โดยมีเงื่อนไข ให้เด็กหรือเยาวชน บิดา มารดา ผู้ปกครอง บุคคลหรือองค์การซึ่งเด็กหรือเยาวชนอาศัยอยู่ด้วยปฏิบัติเสนอต่อศาลภายใน ๙๐ วันหากศาลเห็นชอบให้จำหน่ายคดีไว้ชั่วคราว   แล้วดำเนินการตามแผนฟื้นฟู เมื่อครบถ้วนให้ศาลสั่งจำหน่ายคดีและให้สิทธินำคดีมาฟ้องเป็นอันระงับหากไม่เห็นชอบก็ให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป

: แหล่งข้อมูลอ้างอิง

(สง่าลีนะมิตรกฎหมายเกี่ยวกับการกระทำ ความผิดของเด็กและเยาวชน (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง (๒๕๒๒)น.๑๗) 

อธิราช มณีภาค (๑๑ กรกฎาคม ๒๕๓๕)สาเหตุแห่งการกระทำความผิดของเด็กและเยาวชนรวมถึงวิธีป้องกันและแก้ไข,สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๐,จาก  http://www.elib.coj.go.th/Article/c2535_7_11.pdf

วิมัย ศรีจันทรา, ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการพัฒนาเด็กและเยาวชน, http://www2.djop.go.th สืบค้นเมื่อ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๐


ขอให้มีความสุขและบุญรักษาทุกท่านค่ะ
By กานต์

๒๖/๕/๖๐, ๑๐.๐๕ น.

ไม่มีความคิดเห็น:

มุมมองทิเบตในสายตาของข้าพเจ้า

  ตอนที่ ๑           บทความวันนี้ข้าพจ้ามีความตั้งใจขอเสนอเรื่องราวของชาวทิเบต หลายท่านที่เคยติดตามข้าพเจ้ามาก่อนหน้านี้ จะทราบว่าข้าพเจ้ามี...