วันพุธที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

"ทรัพย์" ตอนที่ ๑ "อสังหาริมทรัพย์"


"ทรัพย์" ตอนที่ ๑ "อสังหาริมทรัพย์"

              บทความเกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สินนี้คราวก่อนนั้นผู้เขียนได้เขียนอธิบายเฉพาะทรัพย์สินที่เกี่ยวอสังหาริมทรัพย์ และการได้มาในอสังหาริมทรัพย์ โดยนิติกรรม และการได้มาโดยการครอบครองปรปักษ์เท่านั้น แต่มิไดกล่าวถึงความแตกต่างระหว่าง "ทรัพย์" กับ "ทรัพย์สิน" ว่าแตกต่างกันอย่างไร วันนี้ผู้เขียนจึงตั้งใจจะเขียนความแตกต่างระหว่างทรัพย์ทั้งสองประเภทนี้ รวมถึงจะอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับทรัพย์ที่ถือว่าเป็นสมบัติของแผ่นดินด้วย

              ความหมายของคำว่า "ทรัพย์" ทรัพย์หมายความว่า วัตถุมีรูปร่าง ส่วนความหมายของคำว่า "ทรัพย์สิน" นั้น หมายความรวมทั้งทรัพย์ และวัตถุไม่มีรูปร่าง ซึ่งอาจมีราคาและอาจถือเอาได้ ซึ่งทรัพย์นั้น นอกจากหมายความรวมถึงวัตถุมีรูปร่างแล้วจะต้องเป็นวัตถุที่อาจมีราคาและอาจถือเอาได้ด้วย ตามความหมายของทรัพย์สิน ความหมายของคำว่า อาจมีราคาและอาจถือเอาได้วัตถุมีรูปร่างหรือไม่มีรูปร่างจะเป็นทรัพย์และทรัพย์สินได้ก็ต่อเมื่ออาจมีราคาและอาจถือเอาได้ ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปก็ไม่ถือว่าเป็นทรัพย์หรือทรัพย์สิน แล้วร่างกายของมนุษย์เราล่ะ ถือว่าเป็นทรัพย์สินหรือไม่ ถ้ารวมอยู่ในส่วนของร่างกายไม่ใช่ทรัพย์สิน แต่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย แต่ถ้าขาดออกหรือหลุดออกมาแล้วก็อาจเป็นทรัพย์ได้ เช่น เส้นผมหรือเล็บมือ เป็นต้น ซึ่งในปัจจุบันนี้ คนเราสามารถตัดเส้นผมของตัวเองบริจาค หรือขายให้โรงงานผลิตวิกผมเพื่อผลิตผมปลอมสำหรับผู้ที่มีศีรษะบาง หรือล้าน หรือทำวิกผมให้แก่ผู้ป่วยโรคมะเร้งที่ต้องสูญเสียผมของตนเองไปในระหว่างการรักษาได้ ดังนั้น เมื่อตัดเส้นผมออกมาจากศีรษะแล้ว เส้นผมนั้นก็ถือว่าเป็นทรัพย์  ส่วนศพจะเป็นทรัพย์หรือไม่นั้น ยังไม่มีข้อยุติ และแนวคำวินิจฉัยของศาลฎีกาก็ยังไม่ชัดเจน และในกรณีสิทธิต่างๆ นั้น แม้จะไม่มีรูปร่าง แต่หากมีราคาและอาจถือเอาได้ ศาลฎีกาก็เคยมีคำ พิพากษาว่าเป็นทรัพย์สิน เช่น ความหมายของอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์

           "อสังหาริมทรัพย์" หมายความว่า ที่ดินและทรัพย์อันติดอยู่กับที่ดินมีลักษณะเป็นการถาวรหรือประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดินนั้น และหมายความรวมถึงทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับที่ดิน หรือทรัพย์อันติด อยู่กับที่ดินหรือประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดินนั้นด้วย สังหาริมทรัพย์ หมายความว่า ทรัพย์สินอื่นนอกจากอสังหาริมทรัพย์ และหมายความรวมถึงสิทธิอันเกี่ยวกับทรัพย์สินนั้นด้วย อสังหาริมทรัพย์ประกอบด้วยทรัพย์สิน ๔ ประเภท คือ

                         ๑. ที่ดิน

                         ๒. ทรัพย์อันติดอยู่กับที่ดินที่มีลักษณะเป็นการถาวร

                         ๓. ทรัพย์ที่ประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดิน

                         ๔. ทรัพย์สิทธิ์อันเกี่ยวกับที่ดินหรือทรัพย์อันติดอยู่กับที่ดินหรือประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดิน


ประการแรกที่ดิน แยกได้ดังนี้

                       ๑. ที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์เท่านั้น จึงจะมีการครอบครองปรปักษ์ได้  ถ้าเป็นที่ดินที่ไม่มีกรรมสิทธิ์ก็จะครอบครองปรปักษ์ไม่ได้

                       ๒.ที่ดินที่มีแต่เพียงสิทธิครองครองโอนกันได้ด้วยการส่งมอบเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียน แต่การจดทะเบียนก็อาจจะมีได้หากเป็นที่ดินที่มีทะเบียนที่ดิน เช่น น.ส. ๓ หรือ น.ส. ๓ ก

                       ๓.ที่ดินซึ่งครอบครองอยู่เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส. ๓ ก) ที่มีชื่อผู้อื่นเป็นผู้มีสิทธิครอบครองอยู่ จึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามมาตรา ๑๓๗๓ ว่า ผู้อื่นซึ่งมีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง และข้อสันนิษฐานตามมาตรา ๑๓๗๓ จึง รวมถึงที่ดินที่มี น.ส. ๓ และ น.ส. ๓ ก ด้วย
@@ เรื่องนี้ถือมาตรา ๑๓๗๓ มาก่อนมาตรา ๑๓๖๗ กล่าวคือ ผู้ที่มีชื่อเป็นเจ้าของ หรือเป็นผู้มีสิทธิครอบครองใน น.ส. ๓ หรือ น.ส. ๓ ก ได้ประโยชน์จากข้อสันนิษฐานเป็นคุณมากกว่าคน ที่ครอบครองยึดถืออยู่ตามมาตรา ๑๓๖๗

                      ๔.ถ้าที่ดินเป็นที่ดินมือเปล่า เพราะหนังสือรับรองทำประโยชน์ไม่ใช่หนังสือแสดงกรรมสิทธิ์  บุคคลจะพึงมีสิทธิเหนือที่ดินพิพาทคงมีแต่สิทธิครอบครองเท่านั้น  แม้นจะได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยการยึดถือครอบครอง แต่การได้มานั้น เป็นการได้มาซึ่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม ซึ่งถ้ายังไม่ได้จดทะเบียน จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนโดยสุจริตแล้วไม่ได้ตามมาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง


ประการที่สองทรัพย์อันติดกับที่ดินมีลักษณะเป็นการถาวร

                     ๑.ทรัพย์อันติดกับที่ดินมีลักษณะเป็นการถาวร แบ่งได้เป็น ๒ อย่าง คือ ทรัพย์ที่ติดกับที่ดินโดยธรรมชาติ กับทรัพย์ที่ติดกับที่ดินโดยไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ

                     ๒.ต้นพลูเป็นไม้ยืนต้นจึงเป็นอสังหาริมทรัพย์

                     ๓.ทรัพย์ที่มีลักษณะติดกับที่ดินเป็นการถาวรแล้ว จะติดอยู่กับที่ดินนานเท่าไรไม่สำคัญถ้าโดยสภาพมีลักษณะติดกับที่ดินเป็นการถาวรก็เป็นอสังหาริมทรัพย์แม้จะติดอยู่เป็นระยะเวลาไม่นานก็ตาม
                 ๔.เครื่องจักรโรงสีไม่ใช่ส่วนควบ เป็นเพียงของใช้ประจำอยู่กับโรงสีจึงเป็นอุปกรณ์ซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์เท่านั้น ไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์

                     ๕.แผงลอยที่มิได้ติดกับที่ดินมีลักษณะเป็นการถาวรไม่เป็นอสังหาริมทรัพย์


ประการที่สาม ทรัพย์ที่ประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดิน หมายถึง วัตถุต่างๆ ที่มีอยู่ในดินและประกอบขึ้นเป็นพื้นดิน เช่น หิน กรวด ทราย และแร่ธาตุต่างๆ เป็นต้น


ประกาที่สี่ ทรัพย์สิทธิ์อันเกี่ยวกับที่ดินหรือทรัพย์อันติดอยู่กับที่ดินหรือประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดิน ซึ่งหมายถึง สิทธิต่างๆ ที่มนุษย์มีอยู่เหนือที่ดินหรือเหนือทรัพย์เกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวนี้ เช่น กรรมสิทธิ์ สิทธิครอบครอง สิทธิอาศัย สิทธิเก็บกิน สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิจำนอง เป็นต้น


ตัวอย่าง คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๓๘๐/๒๕๔๒

                โจทก์จำเลยตกลงกันด้วยวาจาให้โจทก์มีสิทธิเก็บกิน ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตลอดชีวิตของโจทก์ เพื่อเป็นการตอบแทน ในการที่โจทก์ยกที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้นให้แก่จำเลยซึ่งเป็นบุตรของโจทก์ จำเลยจะมีผลประโยชน์จากสิ่งปลูกสร้างโดยได้เงินกินเปล่าจากผู้เช่าส่วนโจทก์มีรายได้เฉพาะการเก็บค่าเช่าเท่านั้น ข้อตกลงดังกล่าวเป็นข้อตกลงพิเศษอย่างสัญญาต่างตอบแทน ก่อให้เกิดบุคคลสิทธิแก่โจทก์ ในอันที่จะเรียกร้องให้จำเลยไปจดทะเบียนสิทธิเก็บกินนั้น ตราบใดที่จำเลยผู้เป็นเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ยังมิได้โอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้นให้แก่บุคคลอื่น โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนสิทธิเก็บกินได้

คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๕๐๓๓/๒๕๕๕

                โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดที่พิพาท โจทก์จดทะเบียนให้ ส. และ บ. เป็นผู้ทรงสิทธิเก็บกินใน ที่ดินพิพาทตลอดชีวิต ส. และ บ. ย่อมมีสิทธิครอบครอง ใช้และถือเอาประโยชน์แห่งที่ดินนั้นตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๑๗ วรรคหนึ่ง ในระหว่างที่สิทธิเก็บกินยังไม่สิ้นไป เจ้าของกรรมสิทธิ์จึงหามีสิทธิเช่นว่านั้นด้วยไม่ การบอกเลิกสัญญาเช่าหรือการฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากที่ดินพิพาทจึงเป็นอำนาจในการจัดการทรัพย์สินของผู้ทรงสิทธิเก็บกิน แม้โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทก็ไม่มีอำนาจฟ้อง

*** จะเห็นว่าคำพิพากษาศาลฎีกาทั้งสองคดีนี้ วินิจฉัยถึงสิทธิของผู้ทรงสิทธิเก็บกิน ว่าตราบใดที่สิทธิเก็บกินไม่หมดสิ้นไปผู้ทรงสิทธิเก็บกินย่อมมีสิทธิครอบครอง ใช้และถือเอาประโยชน์แห่งที่ดินนั้น ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ ดังนั้น ระหว่างนี้ผู้ที่มีกรรมสิทธิ์จึงไม่อาจเข้าไปขัดขวาง หรือรบกวนขัดสิทธิของผู้ทรงสิทธิเก็บกิน เพราะอำนาจจัดการทรัพย์สินต่างๆ นั้นเป็นสิทธิของผู้ทรงสิทธิเก็บกิน ซึ่งในกฎหมายมาตรานี้นั้น จะยังประโยชน์ให้แก่ บิดา มารดา ที่ต้องการยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้แก่บุตรหลาน แต่ก็เกรงว่าจะถูกบุตรหลานทอดทิ้ง ซึ่งการนำมาตรานี้มาใช้จะมีประโยชน์แก่ผู้เป็นบิดา มารดา มากที่สุด เพราะแม้จะยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินไปแล้วแต่ตนยังมีสิทธิใช้สอยและได้รับประโยชน์ในที่ดินนั้นอยู่จนกว่าสิทธิเก็บกินจะหมดสิ้นไป


ข้อสังเกต เรื่องสิทธิเก็บกิน ซึ่งเรื่องสิทธิเก็บกินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๑๗ และมาตรา ๑๔๑๘ วางหลักไว้ สรุปได้ว่า

                     ๑. อสังหาริมทรัพย์อาจตกอยู่ในบังคับสิทธิเก็บกิน ผู้ทรงสิทธิเก็บกินนั้นมีสิทธิครอบครองใช้และถือเอาซึ่งประโยชน์แห่งทรัพย์สินนั้น (มาตรา ๑๔๑๗ วรรคหนึ่ง)

                     ๒.ผู้ทรงสิทธิเก็บกินมีอำนาจจัดการทรัพย์สิน (มาตรา ๑๔๑๗ วรรคสอง)

                     ๓.สิทธิเก็บกินอาจมีกำหนดเวลาหรือตลอดชีวิตผู้ทรงสิทธิเก็บกิน (มาตรา ๑๔๑๘ วรรคหนึ่ง)

                     ๔. ถ้าไม่มีกำหนดเวลาให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า สิทธิเก็บกินมีอยู่ตลอดชีวิตผู้ทรงสิทธิเก็บกิน (มาตรา ๑๔๑๘ วรรคสอง)

                     ๕. ถ้าผู้ทรงสิทธิเก็บกินถึงแก่ความตาย สิทธิเก็บกินย่อมสิ้นไปเสมอ (มาตรา ๑๔๑๘ วรรคท้าย)

*** ซึ่งสิ่งที่จะต้องระมัดระวังและพึงระลึกไว้เสมอว่า สิทธิเก็บกินเป็นอสังหาริมทรัพย์ประเภท ทรัพยสิทธิดังนั้น จึงต้องจดทะเบียนกับพนักงานเจ้าที่


ต่อไปเรามาดูการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ซึ่งมีอยู่ ๒ ประการ คือ

 ๑. การได้มาโดยทางนิติกรรม ซึ่งการได้มาโดยทางนิติกรรม กฎหมายบัญญัติไว้เพียงว่าไม่บริบูรณ์ คือ ไม่บริบูรณ์ในฐานะที่เป็นทรัพยสิทธิ แต่ไม่ได้หมายความว่าถ้าไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนแล้วจะเป็นโมฆะหรือเสียเปล่าโดยใช้บังคับกับใครไม่ได้แต่ยังสามารถใช้บังคับในระหว่างคู่กรณีหรือคู่สัญญานั้นได้ในฐานะบุคคลสิทธิ และการได้มาโดยทางนิติกรรมที่ไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่บริบูรณ์นั้น นอกจากจะใช้ยันบุคคลภายนอกในฐานะที่เป็นทรัพยสิทธิไม่ได้แล้วในระหว่างคู่สัญญาด้วยกันจะฟ้องบังคับให้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งไปจดทะเบียนให้บริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิก็ไม่ได้เช่นกัน
๒.การได้มาโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม อาจได้มาในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ดังต่อไปนี้

                                      ๑)การได้มาตามที่กฎหมายบัญญัติไว้

                                      ๒)การได้มาโดยทางมรดก

                                      ๓)การได้มาโดยคำพิพากษา

การได้มาโดยคำพิพากษาจะต้องเป็นการได้มาโดยเด็ดขาด ถ้าเป็นการได้มาตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งได้พิพากษาตามยอมแล้ว หรือได้มาตามคำพิพากษาซึ่งยังไม่ถึงที่สุด คือยังไม่มีผลให้กรรมสิทธิ์โอนมาทันที จึงไม่ถือว่าเป็นการได้มาโดยทางอื่นนอกจากทางนิติกรรม แต่ก็ถือได้ว่าผู้นั้นอยู่ในฐานะที่จดทะเบียนสิทธิของตนอยู่ได้ก่อนตามมาตรา ๑๓๐๐ จึงมีสิทธิดีกว่าเจ้าหนี้อื่น แต่ถ้ามีข้อตกลงบังคับว่าจะไปจดทะเบียนกันในภายหลัง และได้ทำสัญญาเป็นหนังสือโดยกำหนดวันไว้แน่นอนว่าวันใดจะไปจดทะเบียนโอนกันกับพนักงานเจ้าหน้าที่ ถ้าอีกฝ่ายไม่ปฏิบัติตาม อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องบังคับให้ไปจดทะเบียนได้

                ในการเปลี่ยนแปลง การกลับคืนมาหรือการระงับซึ่งสิทธิต่างๆ อันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษตามมาตรา ๑๓๐๑ และ ๑๓๐๒ การได้มาจะต้องโดยทางนิติกรรมและทางอื่นนอกจากทางนิติกรรมตามมาตรา ๑๒๙๙ ด้วย และในมาตรา ๑๒๙๙ ที่กำหนดให้ต้องจดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่มีข้อจำกัดในการใช้ คือไม่ใช้กับการจำกัดสิทธิของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้เป็นพิเศษแล้วในมาตรา ๑๓๓๘-๑๓๕๕


ข้อยกเว้นของการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์โดยทางนิติกรรม

                  ๑. หลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอนการได้มาโดยทางนิติกรรมแม้จะได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนแล้วก็ตาม แต่หากผู้โอนไม่มีอำนาจหรือไม่มีสิทธิที่จะโอนอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้น ผู้รับโอนก็จะไม่ได้ไปซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพย์สิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้น  ยกตัวอย่าง เช่น

              ก) ซื้อที่ดินจากผู้ที่ไม่มีอำนาจขายแม้จะเป็นการซื้อขายโดยสุจริตก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์นั้น ผู้ซื้อย่อมมีอำนาจฟ้องเรียกเงินคืนจากผู้ขายได้

                ข) มีคนปลอมหนังสือมอบอำนาจแล้วเอาโฉนดที่ดินไปจดทะเบียนจำนองไว้ ผู้ปลอมย่อมไม่มีสิทธิเอาที่ดินไปจำนองเพราะไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดิน คนรับจำนองไว้ก็ไม่มีสิทธิด้วย ทั้งนี้เจ้าของที่ดินจะต้องไม่ประมาทเลินเล่อด้วย

                     แต่ถึงแม้การซื้อข้างต้นผู้ซื้อจะไม่ได้กรรมสิทธิ์ หรือทรัพยสิทธิโดยนิติกรรมตามหลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอนก็ตาม แต่ผู้นั้นอาจจะได้กรรมสิทธิ์หรือทรัพยสิทธินั้นโดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา๑๓๘๒ ได้ หากผู้ซื้อได้เข้าครอบครองอยู่ในที่ดินนั้นครบ ๑๐ ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้

*** ข้อยกเว้นของหลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน

                        ๑. กรณีเรื่องตัวแทนเชิดตามมาตรา ๘๒๑ ถ้าบุคคลภายนอกสุจริตก็จะไม่นำหลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอนมาใช้

                        ๒. การได้กรรมสิทธิ์มาโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมตามมาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง

                       ๓. การโอนอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เป็นทางเสียเปรียบแก่บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน  บุคคลผู้นั้นอาจเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนนั้นได้ แต่จะเพิกถอนทะเบียนบุคคลภายนอกผู้รับโอนโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนไม่ได้ตาม มาตรา ๑๓๐๐

                        ๔. สิทธิของบุคคลผู้ได้มาซึ่งทรัพย์สินโดยมีค่าตอบแทนและโดยสุจริตไม่เสียไป ถึงแม้ว่าผู้โอนทรัพย์สินให้จะได้ทรัพย์สินนั้นมาโดยนิติกรรมอันเป็นโมฆียะและนิติกรรมนั้นได้ถูกบอกล้างภายหลังตามมาตรา ๑๓๒๙

                         ๕. สิทธิของบุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินโดยสุจริตในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล หรือคำสั่งเจ้าพนักงานรักษาทรัพย์ในคดีล้มละลายนั้นไม่เสียไปถึงแม้ภายหลังจะพิสูจน์ได้ว่าทรัพย์สินนั้นไม่ใช่ของจำเลยหรือลูกหนี้โดยคำพิพากษาหรือผู้ล้มละลายตามมาตรา ๑๓๓๐

                         ๖. สิทธิของบุคคลผู้ได้เงินตรามาโดยสุจริตนั้นไม่เสียไปถึงแม้ภายหลังจะพิสูจน์ได้ว่าเงินนั้นไม่ใช่ของบุคคลซึ่งได้โอนให้มาตามมาตรา ๑๓๓๑

                         ๗. บุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตในการขายทอดตลาดหรือในท้องตลาด หรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น ไม่จำต้องคืนให้แก่เจ้าของแท้จริง เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมาตามมาตรา๑๓๓๒

ตัวอย่าง คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๓๔๖/๒๕๐๖

                            สิทธิครอบครองตามมาตรา ๑๓๘๒ ที่ยังไม่ได้จดทะเบียนจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้รับโอนซึ่งได้สิทธิมาโดยสุจริต เสียค่าตอบแทน และจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตตามมาตรา๑๒๙๙ วรรคสองแล้วมิได้

คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๒๒๙/๒๕๔๙

                            บุคคลภายนอกที่จะได้รับความคุ้มครองตามมาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง ต้องเป็นการได้สิทธิในที่ดินที่จดทะเบียนแล้วและสิทธิที่ได้นั้นต้องเกิดจากเอกสารสิทธิ์ของที่ดินที่ออกโดยชอบด้วยเมื่อการออกโฉนดที่ดินไม่ชอบผู้รับจำนอง (บุคคลภายนอก) จะอ้างสิทธิที่เกิดขึ้นจากส่วนที่ออกโดยชอบไม่ได้กรณีไม่อยู่ในบังคับของมาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง


จากคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวมีข้อสังเกต ดังนี้

                      ๑.การได้มาโดยทางนิติกรรมแม้จะไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะเป็นผลให้การได้มาไม่บริบูรณ์ก็ตาม แต่ผู้ที่ได้มาถือว่าอยู่ในฐานะที่จะจดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตามมาตรา ๑๓๐๐ ถ้ามีการโอนไปทำให้เสียเปรียบก็ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนได้ เว้นแต่คนที่ได้รับโอนไปทำการโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน

                      ๒. การซื้อที่ดินโดยสุจริตจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลตามมาตรา ๑๓๓๐ แม้จะยังไม่ได้ทำนิติกรรมโอนต่อเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ ผู้ซื้อก็มีสิทธิและอำนาจฟ้องขับไล่ผู้ที่อาศัยในที่ดินได้



ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๐๘/๒๕๐๖

                       ผู้ซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลไว้โดยสุจริตถึงแม้จะยังไม่ได้ทำนิติกรรมโอนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ซื้อย่อมมีสิทธิและมีอำนาจฟ้องขับไล่ผู้ที่อาศัยอยู่ในที่ดินนั้นให้ออกไปได้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๐ เป็นบทกฎหมายกำหนดเรื่องการขายทอดตลาดทรัพย์ตามคำสั่งศาลไว้เป็นกรณีพิเศษไม่อยู่ในข่ายของการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ทั่วไปดังที่ได้บัญญัติเรื่องแบบนิติกรรมไว้ตามมาตรา ๔๕๖ผู้ครอบครองที่ดินจะรู้หรือไม่ว่ามีการขายทอดตลาดก็หาเป็นเหตุที่จะยกขึ้นต่อสู้สิทธิของผู้ซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลได้ไม่

                    ๓.ไม่นำมาตรา ๑๒๙๙ วรรคหนึ่ง มาใช้กับกรณีที่การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ในทางนิติกรรมนั้น หากเป็นการได้มาของแผ่นดินหรือกลับมาเป็นของแผ่นดินโดยทางนิติกรรม จึงไม่จำเป็นต้องไปทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนตามมาตรา ๑๒๙๙ วรรคหนึ่ง

           ***ส่วนมาตรา ๑๒๙๙ วรรคสองผลของการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์จะมีผลดังนี้

                        ก)จะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนใดๆ ไม่ได้ เพราะยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มา
จะต้องฟ้องหรือร้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ได้กรรมสิทธิ์มาโดยครอบครองปรปักษ์ แต่ศาลจะไปบังคับให้เจ้าของเดิมไปจดทะเบียนโอนให้ไม่ได้ ต้องถือคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลเป็นหลักฐานแทน

                         ข)จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิอย่างเดียวกัน โดยมีค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนโดยสุจริตแล้วนั้นไม่ได้


ตามมาตรา ๑๒๙๙ วรรคสองนั้นมีข้อสังเกตที่พึงระวัง ดังนี้

                             (๑) ผู้สืบสิทธิหรือทายาทของเจ้าของทรัพย์ไม่ใช่บุคคลภายนอก

                            (๒) เจ้าหนี้สามัญไม่อยู่ในฐานะของบุคคลภายนอก

                            (๓) เจ้าหนี้บุริมสิทธิ ถือว่าเป็นบุคคลภายนอก

                            (๔) ทรัพยสิทธิของบุคคลภายนอกที่ได้มานั้นจะต้องเป็นประเภทเดียวกันกับทรัพยสิทธิของผู้ที่ได้มาโดยทางอื่นนอกจากทางนิติกรรม ดังนั้น ถ้าเป็นทรัพยสิทธิคนละประเภท เช่น กรรมสิทธิ์กับภาระจำยอม ก็ไม่อยู่ในบังคับของมาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง อีกประเด็นที่สำคัญคือ มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง โดยปกติจะใช้บังคับแต่ที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์เท่านั้น แต่ต่อมามีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยให้รวมถึงที่ดินที่มีหนังสือสำคัญแสดงสิทธิครอบครองด้วย เช่น น.ส.๓ หรือ น.ส.๓ ก




ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๒๗/๒๕๓๘

                              ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) แม้โจทก์จะได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทมาจริงดังโจทก์กล่าวอ้างการได้มาของโจทก์ก็เป็นการได้มาซึ่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ซึ่งถ้ายังมิได้จดทะเบียนไซร้โจทก์ก็จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิในที่ดินพิพาทมาจากจำเลยที่หนึ่งโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนโดยสุจริตแล้วหาได้ไม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา๑๒๙๙ วรรคสอง

               
                             ๔. การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองและมีคำพิพากษารับรองการได้สิทธิในภายหลังที่ได้มีการโอนให้บุคคลภายนอกแล้ว จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและได้จดทะเบียนโดยสุจริตแล้วไม่ได้ (คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๓๖๖/๒๕๑๖)

                             ๕. บุคคลภายนอกรับโอนมาแล้วมีการโอนต่อไปเป็นช่วงๆ หลายทอด คนที่ได้มาโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม จะต่อสู้บุคคลภายนอกที่มีการโอนกันเป็นช่วงๆ ไม่ได้ หากผู้รับโอนช่วงได้รับโอนมาจากผู้โอนซึ่งสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนแล้ว แต่ถ้าเป็นการได้มาโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมหากได้อยู่ต่อมาจนครอบครองปรปักษ์ครบ ๑๐ ปี เช่นนี้สิทธิในการได้ที่ดินพิพาทมาโดยการครอบครองปรปักษ์เกิดขึ้นใหม่ คนที่ได้มาโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมจึงมีอำนาจสู้ได้


ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๗๙ - ๖๘๒/๒๕๕๙

         ที่ดินพิพาทในคดีนี้ โจทก์ได้มาโดยการซื้อมาจากเอกชน มิใช่ดำเนินการเวนคืนมาตาม กฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ของรัฐ เพื่อให้ได้มาซึ่งแหล่งปิโตรเลียม เพื่อจัดสร้างโรงกลั่นปิโตรเลียม โรงแยกก๊าช ท่าเรือ คลังปิโตรเลียม หรือเพื่อใช้ในการวางระบบขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ หรือสิ่งปลูกสร้างอื่นอันจำเป็นและเกี่ยวเนื่องกับกิจการดังกล่าว จึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ในทางธุรกิจของโจทก์เท่านั้น ข้ออ้างที่ว่าใช้สำหรับเป็นทางออกหนีไฟของคลังก๊าช เพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันอันตราย ก็เป็นเรื่องการปฏิบัติงานภายในหน่วยงานของโจทก์ ซึ่งมีสถานะทางกฎหมายเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายเอกชนและมีการดำเนินการทางธุรกิจในฐานะเดียวกับเอกชน ไม่เกี่ยวกับสาธารณประโยชน์ กรณียังถือไม่ได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์อันร่วมกันเช่นทรัพย์สินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๐๔ (๓)

                การที่จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๔ เข้าครอบครองที่ดินพิพาทต่อจากนายประไว และจำเลยที่ ๒ เข้าครอบครองที่ดินพิพาทต่อจากบุคคลซึ่งรับโอนและครอบครองที่ดินพิพาทต่อจากนายประไวตั้งแต่ปี ๒๕๓๓  เรื่อยมาโดยสงบ เปิดเผย เป็นเวลาติดต่อกันมาเกิน ๑๐ ปี จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท  ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๘๒  จำเลยทั้งสี่สามารถยกอายุความการครอบครองขึ้นมาต่อสู้ได้ จำเลยที่ ๒ รับโอนที่ดินพิพาทมาจากนาย อ. ส่วนจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๔ รับโอนที่ดินพิพาทมาจากนายประไว โดยเริ่มต้นนายประไวซื้อที่ดินพิพาทมาจากพลอากาศตรีอำนวยเมื่อประมาณปี ๒๕๓๓ และมีการแบ่งแยกเป็นแปลงย่อยก่อนจดทะเบียนโอนมาเป็นของจำเลยทั้งสี่

              การที่จำเลยทั้งสี่เข้าครอบครองปลูกบ้านอาศัยอยู่ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ โดยไม่เคยถูกผู้ใดโต้แย้งคัดค้านก่อนหน้านั้น จึงถือเป็นการครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผยมาตลอด รวมเวลาของผู้โอนกับเวลาที่จำเลยทั้งสี่ครอบครองเกินกว่า ๑๐ ปีแล้ว จำเลยทั้งสี่ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๘๒ อีกทั้งกฎหมายมิได้บัญญัติไว้อย่างแจ้งชัดว่า ผู้ที่จะได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินโดยการครอบครองนั้น จะต้องรู้ว่าทรัพย์สินที่ตนครอบครองเป็นของผู้อื่น ข้อสำคัญมีเพียงว่า การครอบครองนั้นมีลักษณะเป็นการครอบครองเพื่อตน มิใช่ครอบครองแทนเจ้าของกรรมสิทธิ์ เช่น เป็นผู้อาศัยหรือผู้เช่า แม้ผู้ครอบครองจะเข้าใจว่าที่ดินที่ตนครอบครองเป็นของตน แต่ความจริงยังเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้อื่นอยู่ ก็หาทำให้สิทธิจากการครอบครองเสียไปไม่


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๔๘๘๔/๒๕๕๘

                               ผู้ร้องกับจำเลยที่ ๑ หย่ากันโดยความยินยอมของทั้งสองฝ่าย ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๓๒ (ก) บัญญัติให้จัดการแบ่งทรัพย์สินของสามีภริยาตามที่มีอยู่ในเวลาจดทะเบียนการหย่า ข้อตกลงตามสำเนาบันทึกด้านหลังทะเบียนการหย่าระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ยินยอมยกที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๒๔๙๘ พร้อมสิ่งปลูกสร้างเลขที่ ๖/๘๒ ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง เป็นสัญญาแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาตามบทมาตราดังกล่าว มิใช่สัญญาให้ทรัพย์สินอันจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงจะสมบูรณ์ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา ๕๒๕ เมื่อนายทะเบียนจดทะเบียนหย่าให้แล้ว ถือว่าทั้งสองฝ่ายได้จัดการแบ่งทรัพย์สินกันเรียบร้อยแล้ว ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจึงเป็นของผู้ร้องแต่เพียงผู้เดียว การที่จำเลยที่ ๑ ยังมิได้จดทะเบียนโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างส่วนของตนให้แก่ผู้ร้อง มีผลเพียงทำให้การได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์ของผู้ร้องยังไม่บริบูรณ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๒๙๙ วรรคหนึ่ง เท่านั้น แต่สิทธิของผู้ร้องตามสัญญาแบ่งทรัพย์สินที่นายทะเบียนจดทะเบียนหย่าให้แล้วและผู้ร้องได้ครอบครองทรัพย์เพียงผู้เดียวตลอดมา ทั้งเป็นผู้ชำระหนี้จำนองและไถ่ถอนจำนองจากธนาคาร ก. ถือได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๐๐ ผู้ร้องไม่ใช่ผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมและโจทก์เป็นเพียงเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ ๑ ซึ่งนำยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์เท่านั้น

         โจทก์มิใช่ผู้รับโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอันมีค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว โจทก์จึงมิใช่บุคคลภายนอกที่ได้รับความคุ้มครองตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๐๐ ดังนั้น แม้ผู้ร้องจะมิได้จดทะเบียนการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ส่วนของจำเลยที่ ๑ ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ได้ โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะบังคับให้กระทบถึงสิทธิของผู้ร้องไม่ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๘๗ โจทก์จึงไม่มีสิทธิยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ร้องมีสิทธิเรียกร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๐๐๗/๒๕๔๐

                           โจทก์เป็นทายาทได้รับที่ดินมรดกของ ป. เป็นการได้มาซึ่งทรัพยสิทธิโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม ส่วนจำเลยกับ น.รับโอนที่ดินดังกล่าวมาโดยผู้โอนขายให้ โดยเสียค่าตอบแทนและโดย สุจริตและได้จดทะเบียนโดยสุจริต เมื่อที่ดินส่วนของ น. น.มีสิทธิดีกว่าโจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง แม้ต่อมาที่ดินส่วนนี้จะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ ห. เมื่อ ห.ถึงแก่กรรมจำเลย และ ถ.เป็นผู้รับโอนมรดกที่ดินส่วนของ ห. โดยไม่เสียค่าตอบแทน โจทก์ก็ไม่อาจยกสิทธิของตนใช้ยันจำเลยได้ เพราะสิทธิของโจทก์ขาดตอนไปแล้ว ตั้งแต่ น.รับโอนทางทะเบียนโดยสุจริต จะนำหลักกฎหมายทั่วไปที่ว่า ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอนมาใช้บังคับไม่ได้เพราะสิทธิหลักกฎหมายทั่วไปดังกล่าว


                        ๕. กรณีโอนที่ดินสลับโฉนดกัน หากได้มีการโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่บุคคลภายนอกโดยสุจริต และเสียค่าตอบแทน ก็ต้องอยู่ภายในบังคับของมาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง คือ สิทธิของผู้ได้มานั้น ถ้ายังมิได้จดทะเบียน จะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ และสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนนั้น ห้ามไม่ให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต แต่ถ้าไม่มีบุคคลภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้องเลยผู้ที่ครอบครองที่ดินอยู่ก็มีสิทธิให้เจ้าของเดิมโอนโฉนดที่ดินดังกล่าวนั้นให้ถูกต้องได้

                       ๖.กรณีที่ใส่ชื่อบุคคลอื่นไว้ในฐานะเป็นตัวแทน ผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นโดยไม่จำเป็นต้องไปจดทะเบียนก็สมบูรณ์ โดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตัวการผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริงสามารถนำสืบให้เห็นว่าตัวแทนถือกรรมสิทธิ์ที่ดินแทนตัวการ โดยไม่ถือว่าเป็นการสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร

                      ๗.กรณีผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นตามมาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนและหากผู้ได้มานั้นจะได้คืนอสังหาริมทรัพย์ให้แก่เจ้าของเดิม เช่นนี้เจ้าของเดิมไม่ต้องแก้ไขทางทะเบียน การเพิกถอน การจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์

มาตรา ๑๓๐๐ ถ้าได้จดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เป็นทางเสียเปรียบแก่บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นอาจเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนนั้นได้ แต่การโอนอันมีค่าตอบแทน ซึ่งผู้รับโอนกระทำการโดยสุจริตนั้น ไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด ท่านว่าจะเรียกให้เพิกถอนทะเบียนไม่ได้

องค์ประกอบที่จะขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนกับบุคคลภายนอกได้ ตามมาตรา ๑๓๐๐ มีดังนี้

                             ๑) จะต้องมีบุคคลหนึ่งเป็นบุคคลซึ่งอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนในอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นได้อยู่ก่อนและบุคคลนั้นจะต้องเสียเปรียบจากการที่มีการจดทะเบียนอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นให้บุคคลภายนอกไป

                             ๒) บุคคลภายนอกที่ได้อสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์อันเดียวกันนั้นไป จะต้องจดทะเบียนรับโอนโดยไม่เสียค่าตอบแทนหรือไม่สุจริตอย่างใดอย่างหนึ่งถ้าบุคคลภายนอกที่รับจดทะเบียนรับโอนไปนั้นเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตก็จะเพิกถอนไม่ได้

                              ข้อแตกต่างระหว่างมาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง กับ มาตรา ๑๓๐๐

                        มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง
                             มาตรา ๑๓๐๐
๑. มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง ใช้บังคับแก่การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมเท่านั้น
๑. การขอเพิกถอนการโอนตามมาตรา๑๓๐๐ อาจจะเป็นการได้มาโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมหรืออาจเป็นการได้มาโดยทางนิติกรรมก็ได้เพียงแต่ว่า นิติกรรมที่ได้มานั้นยังไม่ได้มีการจดทะเบียนกันเท่านั้น
๒. มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง กรณีที่สิทธิอันไม่ได้จดทะเบียนห้ามยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทน โดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว เป็นเรื่องของผู้ได้มาโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมที่จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ต่อบุคคลภายนอก
๒. มาตรา ๑๓๐๐ เป็นเรื่องที่ผู้ได้มาโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมเป็นฝ่ายร้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนของบุคคลภายนอกโดยอ้างว่าการได้มาของบุคคลภายนอกทำให้ผู้ได้มาโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมต้องเสียเปรียบบุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน

                               
ซึ่งบุคคลผู้อยู่ในฐานะจดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนมีอยู่ ๒ กลุ่ม คือ

                           ๑. บุคคลที่ได้อสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม และยังมิได้จดทะเบียนการได้มานั้น (มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง)

                           ๒. บุคคลผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยนิติกรรมเรียบร้อยแล้วทุกอย่าง เพียงแต่ยังไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เท่านั้น (มาตรา ๑๒๙๙วรรคหนึ่ง)

ข้อสังเกต สัญญาทุกประเภทจะไม่ว่าจะเป็น สัญญาจะซื้อจะขาย สัญญาจะให้ หรือสัญญาจะแลกเปลี่ยน คนที่มีสิทธิตามสัญญาดังกล่าวไม่ใช่ผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนจึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนตามมาตรา ๑๓๐๐ ได้ ทางแก้ไขอาจนำเรื่องการเพิกถอนการฉ้อฉลตามมาตรา ๒๓๗ มาใช้ ซึ่งมาตรา ๒๓๗ เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใดๆ อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย แต่หากกรณีเป็นการทำให้โดยเสน่หา ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้บทบัญญัติดังกล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับแก่นิติกรรมใดอันมิได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน


ส่วนทรัพย์ซึ่งประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดิน ทรัพย์ซึ่งประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดินหากแยกออกจากตัวพื้นดิน ก็ย่อมขาดจากลักษณะของการเป็นทรัพย์ที่ประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดิน ตัวอย่าง ขุดดินในที่ดินไปขายถือว่าเป็นการขายสังหาริมทรัพย์ ไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์ เพราะดินได้ขาดออกจากตัวที่ดินแล้วจึงเป็นสังหาริมทรัพย์

*** ทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ มีดังนี้

                      (๑) สิทธิรับจำนองที่ดินเป็นอสังหาริมทรัพย์
                      (๒) หุ้นในห้างหุ้นส่วนสามัญซึ่งมีทรัพย์สินเป็นที่ดินไม่ใช่สิทธิในอสังหาริมทรัพย์
                      (๓) สิทธิเช่าซื้อเป็นบุคคลสิทธิไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์
                      (๔) สิทธิเช่าอาคารเป็นสิทธิเกี่ยวกับตัวอาคารไม่เป็นอสังหาริมทรัพย์แต่เป็นสังหาริมทรัพย์

** เรื่องที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ผู้เขียนตั้งใจเขียนโดยสรุปย่อนี้ หวังว่าคงจะมีประโยชน์แก่ทุกท่านได้บ้าง ซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องอสังหาริมทรัพย์นี้ค่อนข้างเยอะ     และซับซ้อนแม้ผู้เขียนจะพยายามสรุปย่ออย่างไร ก็ไม่อาจตัดประเด็นใดประเด็นหนึ่งทิ้งออกไปได้  ได้แต่พยายามลงเนื้อหาที่สำคัญและที่เป็นปัญหาในการทำความเข้าใจให้มากที่สุด โชคดีทุกท่านค่ะ

By กานต์
๓๑/๕/๖๐, ๑๔.๐๕ น.


ไม่มีความคิดเห็น:

มุมมองทิเบตในสายตาของข้าพเจ้า

  ตอนที่ ๑           บทความวันนี้ข้าพจ้ามีความตั้งใจขอเสนอเรื่องราวของชาวทิเบต หลายท่านที่เคยติดตามข้าพเจ้ามาก่อนหน้านี้ จะทราบว่าข้าพเจ้ามี...