วันเสาร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ละเมิด/ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่


ละเมิดตามกฎหมายแพ่ง

                    วันนี้ผู้เขียนจะมาเล่ากฎหมายเรื่อง "ละเมิด" "ละเมิด" คืออะไร ละเมิดคือ การล่วงเกิน หรือฝ่าฝืนจารีตประเพณี หรือที่มีกฎหมายบัญญัติไว้ (กิริยา)  จงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่น โดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สินหรือสิทธิ [พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน]
                      มาตรา ๔๒๐ "ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดีทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น"  ดังนั้น การกระทำใดจะเป็นละเมิดต้องประกอบด้วยหลักดังต่อไปนี้
                       ๑. กระทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ซึ่งหมายถึงการประทุษร้าย ต่อบุคคลโดยผิดกฎหมายด้วยการฝ่าฝืนต่อกฎหมายที่ห้ามไว้ หรือละเว้นไม่กระทำในสิ่งที่กฎหมายบัญญัติให้กระทำหรือตนมีหน้าที่ตามกฎหมายจะต้องกระทำ และโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ เช่น  ฆ่าผู้อื่น, ทำร้ายร่างกายผู้อื่น,ขับรถโดยประมาทชนคนตาย หรือทำให้ทรัพย์สินของเขาเสียหาย เป็นต้น

                       ๒. กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ กระทำโดยจงใจ คือการกระทำโดยรู้สำนึกและในขณะเดียวกันก็รู้ว่าจะทำให้เขาเสียหาย เช่น เจตนาที่จะฆ่า หรือมีเจตนาร้ายร่างกาย หรือมีเจตนาลักเอาทรัพย์ของผู้อื่น ฯลฯ อย่างไรก็ดี การกระทำโดยจงใจในเรื่องละเมิดนั้น ถือหลักน้อยกว่าความผิดทางอาญา สำหรับความผิดทาอาญานั้น  การกระทำต้องกระทำโดยรู้สำนึกในการที่ทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำต้องประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลด้วย  [ดร.เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์, คำอธิบายกฎหมายอาญา ภาค๑, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๘]  ส่วนจงใจในเรื่องละเมิดบางกรณีไม่ผิดในทางอาญาแต่เป็นละเมิดต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่เขา เช่น จำเลยรื้อห้องน้ำ ห้องครัวซึ่งโจทย์ปลูกล้ำออกไปนอกที่เช่าของวัดโดยวัดต้องการจะขุดคูได้บอกให้โจทย์รื้อแล้วโจทย์ไม่ยอมรื้อการที่จำเลยรื้อแล้วกองไว้หลังบ้านโจทย์มิได้เจตนาชั่วร้ายทำให้ทรัพย์ของโจทย์อันตรายเสียหายไม่เป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์แต่เป็นละเมิด เพราะรู้ว่าแล้วว่าการรื้อนั้นจะทำให้ทรัพย์ของโจทย์เสียหาย


  คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๘๖๙/๒๕๓๑

                             จำเลยขับรถยนต์โดยสารแซงรถยนต์บรรทุกของโจทก์และชน รถยนต์บรรทุกของโจทก์ในขณะที่รถยนต์บรรทุกของโจทก์กำลังเลี้ยวขวา แม้รถยนต์บรรทุกไม่ได้เลี้ยวตัดหน้าอย่างกระชั้นชิด แต่การที่ รถยนต์บรรทุกของโจทก์ขับชิดทางด้านซ้ายตลอดมาจนกระทั่งเกิดเหตุ ไม่ได้ขับชิดทางด้านขวาของเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนในขณะให้สัญญาณไฟ เลี้ยวขวาเพื่อเป็นการเตรียมที่จะเลี้ยวขวา ดังนี้ รถยนต์บรรทุก ของโจทก์มีส่วนประมาท ก่อให้เกิดความเสียหายอยู่ด้วย โจทก์จึงควรมีส่วนรับผิดในค่าเสียหายที่รถยนต์โดยสารก่อขึ้น หนึ่งในสาม

คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๕๕๗/๒๕๓๑

                                การที่จำเลยขับรถเลี้ยวขวาตัดหน้ารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย จนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายสาหัส และรถจักรยานยนต์ ของผู้เสียหายได้รับความเสียหายนั้น ถือได้ว่าจำเลยกระทำความผิด ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓() ประกอบด้วย มาตรา ๑๕๗ และเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายสาหัส อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๐ การกระทำของ จำเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๐ อันเป็นบทหนัก เมื่อเกิดเหตุชนแล้ว จำเลยได้หลบหนีและไม่ให้ความช่วยเหลือ ผู้เสียหาย ไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ใกล้เคียง ทันที เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นภายหลังจากผู้เสียหายได้ขับ รถจักรยานยนต์ชนรถยนต์คันที่จำเลยเป็นผู้ขับขี่ตัดหน้าซึ่งเป็น การกระทำโดยเจตนาของจำเลยแยกต่างหากจากการกระทำครั้งแรก อันเป็นเรื่องต่างกรรม จำเลยจึงต้องมีครั้งแรก อันเป็นเรื่องต่างกรรม จำเลยจึงต้องมีความผิดตามพระราชบัญญัติ จราจรทางบก พ.. ๒๕๒๒ มาตรา ๗๘, ๑๖๐ วรรคสอง อีกกระทงหนึ่ง
                       
                         คำว่า "ประมาทเลินเล่อ"  ในกฎหมายแพ่ง หมายความถึง การกระทำที่ขาดความระมัดระวังจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายนั้น และหมายความถึงการไม่ป้องกันผลที่เกิดขึ้นโดยประมาทเลินเล่อแม้ตนเองไม่ได้กระทำให้เกิดผลนั้นขึ้น ระดับความระมัดระวังของบุคคลต้องถือระดับของวิญญูชน หรือบุคคลธรรมดา
                         ตัวอย่าง นายดำขับรถยนต์ไปถึงสี่แยกที่มีรถร่วมด้วยทางด้วยความเร็ว และไม่ได้ชะลอความเร็วของรถลง จึงได้เฉี่ยวชนกับรถยนต์คันอื่นได้รับความเสียหาย และคนขับรถยนต์คันนั้นได้รับบาดเจ็บดังนี้จึงถือว่า นายดำกระทำละเมิดโดยประมาทเลินเล่อ

                         ๓. กรณีที่ทำให้บุคคลอื่นเสียหาย โดยปกติผู้กระทำต้องรับผิดเฉพาะการกระทำของตน แต่ในเรื่องละเมิดนั้น ถ้าได้มีการกระทำละเมิดร่วมกัน หรือแม้มิได้ร่วมแต่เป็นผู้ยุยงส่งเสริมหรือช่วยเหลือในการกระทำละเมิดดังนี้บุคคลเหล่านี้จะต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายนั้น

                        มาตรา ๔๓๒ "ถ้าบุคคลหลายคนก่อให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นโดยร่วมกันทำละเมิด ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นจะต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้น ความข้อนี้ท่านให้ใช้ตลอดถึงกรณีที่ไม่สามารถสืบรู้ตัวได้แน่ว่าในจำพวกที่ทำละเมิดร่วมกันนั้นคนไหนเป็นผู้ก่อให้เกิดเสียหายนั้นด้วย"
                      อนึ่ง บุคคลผู้ยุยงส่งเสริมหรือช่วยเหลือในการทำละเมิด ท่านก็ให้ถือว่าเป็นผู้กระทำละเมิดร่วมกันด้วย
                     ในระหว่างบุคคลทั้งหลายซึ่งต้องรับผิดร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้น ท่านว่าต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่าๆ กัน เว้นแต่โดยพฤติการณ์ ศาลจะวินิจฉัยเป็นประการอื่น

                     เมื่อพิจารณาบทบัญญัติดังกล่าวแล้ว จะเห็นว่าในบางกรณีแม้จะไม่ได้ร่วมกระทำละเมิดหรือยุยงส่งเสริมหรือช่วยเหลือในการกระทำละเมิดแต่กฎหมายบัญญัติให้ต้องร่วมผิดกับผู้ละเมิด ซึ่งมีได้แก่กรณีต่อไปนี้
                     ๑) มาตรา ๔๒๕ ที่บัญญัติว่า "นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิดซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้น"
                       มาตรา ๔๒๖ นายจ้างซึ่งได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อละเมิดอันลูกจ้างได้ทำนั้น ชอบที่จะได้ชดใช้จากลูกจ้างนั้น 

                      ซึ่งเรื่องนายจ้างต้องรับผิดร่วมกับลูกจ้างในผลละเมิดซึ่งเกิดจากการกระทำในทางการที่จ้างนี้มีกรณีที่ผู้เสียหายพึงต้องระมัดระวังคือ เมื่อมีการเจรจาค่าเสียหาย อย่ารีบตัดสินใจเจรจาประนีประนอมยอมความกับลูกจ้าง เพราะถ้าประนีประนอมยอมความกับลูกจ้างไปแล้วหนี้อันเกิดจากมูลละเมิดก็ระงับสิ้นไปเนื่องจากสัญญาประนีประนอมยอมความเกิดหนี้ใหม่ตามสัญญา  อันเป็นเหตุให้นายจ้างพ้นจากความรับผิดผู้เสียหายจะฟ้องนายจ้างให้ร่วมรับผิดในมูลหนี้ละเมิดกับลูกจ้างก็ไม่ได้ เพราะหนี้ละเมิดระงับไปแล้วจะฟ้องให้รับผิดตามสัญญาประนีประนอมก็ไม่ได้ เพราะนายจ้างมิได้เป็นคู่สัญญา  หากลูกจ้างไม่มีทรัพย์สินจะชำระหนี้ ผู้เสียหายก็สูญเปล่าไม่ได้รับการชำระหนี้ ปัญหาในเรื่องนี้ต้องแก้ไขด้วยการให้นายจ้างตกลงเป็นคู่สัญญาประนีประนอมยอมความร่วมกับลูกจ้างโดยมีบุคคลค้ำประกันเพื่อให้ปฏิบัติตามสัญญาด้วย และหากนายจ้างได้ชำระค่าสินไหมทดแทนในเหตุละเมิดให้แก่ผู้เสียหายไปแล้ว นายจ้างก็มีสิทธิที่จะเรียกค่าเสียหายนั้นจากลูกจ้างที่ทำละเมิดได้ ตามมาตรา ๔๒๖

                    โดยตามมาตรา ๔๒๗ ได้บัญญัติให้นำบทบัญญัติในมาตรา ๔๒๕, ๔๒๖ มาใช้ในเรื่องของตัวการต้องรับผิดชอบกับตัวแทนในผลละเมิดซึ่งตัวแทนได้กระทำไปภายในขอบอำนาจแห่งฐานะตัวแทนโดยอนุโลม

                     ๒) มาตรา ๔๒๙ "บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์หรือวิกลจริตก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิด บิดามารดาหรือผู้ อนุบาลของบุคคลเช่นว่านี้ย่อมต้องรับผิดร่วมกับเขาด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแล ซึ่งทำอยู่นั้น" 
                     บิดามารดาของผู้เยาว์หรือผู้อนุบาลของผู้วิกลจริตจะต้องร่วมรับผิดในผลละเมิดที่ผู้เยาว์หรือผู้วิกลจริตกระทำเว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่า ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลแล้ว ดังนั้น ในยุคปัจจุบันนี้ จะเห็นว่ามีเหตุเยาวชนชาย-หญิง ซึ่งเป็นผู้เยาว์ออกมารวมกลุ่มกันเพื่อแข่งขันรถมอเตอร์ไซค์ตามถนนหลวง หรือรวมกลุ่มกันกระทำความผิดกฎหมายต่างๆ อันเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย เช่นนี้ บิดามารดาก็ต้องรับผิดร่วมกับเยาวชนเหล่านั้นในเหตุละเมิด เว้นแต่บิดามารดาพิสูจน์ได้ว่า ได้ใช้ความระมัดระวังดูแลอย่างดีแล้ว (ภาระการพิสูจน์ตกแก่บิดามารดา หรือผู้ดูแล)

                    ๓) มาตรา ๔๓๐ "ครูบาอาจารย์ นายจ้างหรือบุคคลอื่นซึ่งรับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่เป็นนิตย์ก็ดี ชั่วคราวก็ดี จำต้องรับผิดร่วมกับผู้ไร้ความสามารถในการละเมิดซึ่งเขาได้กระทำลงในระหว่างที่อยู่ในความดูแลของตน ถ้าหากพิสูจน์ได้ว่าบุคคลนั้นๆ มิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร"
                    ครูอาจารย์ นายจ้างหรือบุคคลอื่นซึ่งรับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่เป็นนิตย์ หรือชั่วครั้งคราวจะต้องรับผิดร่วมกับผู้ไร้ความสามารถในการละเมิดซึ่งเขาได้กระทำลงในระหว่างที่อยู่ในความดูแลของตน ถ้าหากพิสูจน์ได้ว่าครูบาอาจารย์นายจ้างหรือบุคคลอื่นมิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร จะเห็นว่ามาตรานี้ แตกต่างจากมาตรา ๔๒๙ เพราะมาตรา ๔๒๙ หากบิดามารดา ผู้อนุบาลพิสูจน์ได้ว่าได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแล้วก็ไม่ต้องรับผิดในความเสียหายจากมูลละเมิดที่ผู้เยาว์ หรือผู้วิกลจริตก่อขึ้น  แต่มาตรา ๔๓๐ นี้  ครูอาจารย์ นายจ้างหรือบุคคลอื่นซึ่งรับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถนั้น ไม่มีหน้าที่ต้องพิสูจน์ว่าตนได้ดูแลระมัดระวังตามสมควรแล้ว ภาระการพิสูจน์ในเรื่องตกแก่ฝ่ายผู้เสียหายที่จะต้องพิสูจน์ให้ศาลเห็นว่า บุคคลดังกล่าวในมาตรานี้ ไม่ได้ดูแลและใช้ความระมัดระวังตามสมควร หากฝ่ายผู้เสียหายพิสูจน์ไม่ได้ ครูอาจารย์ นายจ้างหรือบุคคลอื่นซึ่งรับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถนั้นก็ไม่ต้องรับผิด

                  ๔) มาตรา ๔๓๓ "ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ท่านว่าเจ้าของสัตว์ หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหา เพื่อความเสียหายอย่างใดๆ อันเกิดแต่สัตว์นั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิด และ วิสัยสัตว์ หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่น หรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น
                      อนึ่ง บุคคลผู้ต้องรับผิดชอบดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้นจะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่บุคคลผู้เร้าหรือ ยั่วสัตว์นั้นโดยละเมิด หรือเอาแก่เจ้าของสัตว์อื่นอันมาเร้า หรือยั่วสัตว์นั้นๆ ก็ได้"

                      ตามมาตรานี้ เจ้าของสัตว์ หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของ ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายอันเกิดจากสัตว์  เว้นแต่พิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่นหรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นย่อมจะเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น และหากข้อเท็จจริงปรากฏกว่าบุคคลที่ได้รับความเสียหายเป็นผู้ยั่วสัตว์นั้น หรือเอาสัตว์อื่นมาเร้ายั่วสัตว์ให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น เจ้าของสัตว์ที่ก่อความเสียหายก็สามารถเรียกเอาค่าเสียหายจากบุคคลนั้นในเหตุละเมิดได้เช่นกัน

                    ในการพิจารณาว่า การกระทำใดทำให้บุคคลอื่นได้รับความเสียหายนี้ ให้พิจารณาความรับผิดว่าบุคคลนั้นได้กระทำความผิดกฎหมายหรือไม่ และความเสียหายเกิดจากการกระทำผิดนั้นหรือไม่ ถ้าบุคคลนั้นทำผิดกฎหมายและเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายบุคคลนั้นก็ต้องรับผิดจากฐานละเมิด

                    ๐๐๐ ต่อไปเรามาดูค่าสินไหมทดแทนอันเกิดจากการละเมิดกันว่ามีอะไรบ้าง
                     มาตรา ๔๓๘ "ค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้โดยสถานใดเพียงใดนั้น ให้ศาลวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด
                      อนึ่ง ค่าสินไหมทดแทนนั้นได้แก่การคืนทรัพย์สินอันผู้เสียหาย ต้องเสียไปเพราะละเมิด หรือใช้ราคาทรัพย์สินนั้น รวมทั้งค่าเสียหาย อันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันได้ก่อขึ้นนั้นด้วย"

ค่าสินไหมทดแทนอันเกิดจากการละเมิด อันพึงจะได้รับนั้นถ้าตกลงกันไม่ได้ก็ต้องดำเนินการฟ้องร้องต่อศาล โดยศาลจะเป็นผู้กำหนดค่าสินไหมทดแทนโดยจะวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งการละเมิด  ซึ่งตามปกติค่าสินไหมทดแทนได้แก่การคืนทรัพย์สินอันผู้เสียหายต้องเสียไปเพราะการละเมิดหรือใช้ราคาทรัพย์สินรวมทั้งค่าเสียหายอันพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใดๆ อันได้ก่อขึ้นนั้น แต่บางกรณีกฎหมายกำหนดค่าสินไหมทดแทนไว้โดยเฉพาะดังมาตราต่างๆ ต่อไปนี้

                       มาตรา ๔๔๕  ในกรณีทำให้เขาถึงตาย หรือให้เสียหายแก่ร่างกาย หรืออนามัยก็ดี ในกรณีทำให้เขาเสียเสรีภาพก็ดี ถ้าผู้ต้องเสียหาย มีความผูกพันตามกฎหมาย จะต้องทำการงานให้เป็นคุณแก่บุคคล ภายนอกในครัวเรือน หรืออุตสาหกรรมของบุคคลภายนอกนั้นไซร้ ท่านว่าบุคคลผู้จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้นจะต้องใช้ค่าสินไหม ทดแทนให้แก่บุคคลภายนอก เพื่อที่เขาต้องขาดแรงงานอันนั้นไปด้วย

                     มาตรา ๔๔๖ ในกรณีทำให้เขาเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยก็ดี ในกรณีทำให้เขาเสียเสรีภาพก็ดี ผู้ต้องเสียหายจะเรียกร้องเอาค่า สินไหมทดแทนเพื่อความที่เสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินด้วยอีกก็ได้ สิทธิเรียกร้องอันนี้ไม่โอนกันได้ และไม่ตกสืบไปถึงทายาท เว้นแต่ สิทธินั้นจะได้รับสภาพกันไว้โดยสัญญาหรือได้เริ่มฟ้องคดีตามสิทธิ นั้นแล้ว
                     อนึ่ง หญิงที่ต้องเสียหาย เพราะผู้ใดทำผิดอาญาเป็นทุรศีลธรรม แก่ตนก็ย่อมมีสิทธิเรียกร้องทำนองเดียวกันนี้

                     มาตรา ๔๔๗ บุคคลใดทำให้เขาต้องเสียหายแก่ชื่อเสียง เมื่อผู้ ต้องเสียหายร้องขอ ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นจัดการตามควรเพื่อทำให้ ชื่อเสียงของผู้นั้นกลับคืนดีแทนให้ใช้ค่าเสียหายหรือทั้งให้ใช้ค่า เสียหายด้วยก็ได้

                     มาตรา ๔๔๘ สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดนั้น ท่านว่าขาดอายุความเมื่อพ้นปีหนึ่งนับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการ ละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือเมื่อพ้นสิบปีนับ แต่วันทำละเมิด
                     แต่ถ้าเรียกร้องค่าเสียหายในมูลอันเป็นความผิด มีโทษตามกฎหมาย ลักษณะอาญา และมีกำหนดอายุความทางอาญายาวกว่าที่กล่าวมา นั้นไซร้ ท่านให้เอาอายุความที่ยาวกว่านั้นมาบังคับ

**ซึ่งเราอาจแยกพิจารณาได้ดังนี้

 ๑. ค่าสินไหมทดแทนในกรณีที่ทำให้เขาถึงตายผู้ทำละเมิดต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนดังนี้
                 () ค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่น เช่นค่ารถบรรทุกศพ ค่าโลงศพค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายให้วัด ค่าดอกไม้ค่าใช้จ่ายในการบำเพ็ญกุศล
                () ค่าขาดไร้อุปการะต้องเป็นกรณีค่าขาดอุปการะตามกฎหมายเช่นบิดามารดามีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์บุตรมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา เป็นต้น
                () ค่าขาดแรงงาน  ถ้าผู้ตายมีความผูกพันตามกฎหมายจะต้องทำการงานให้เป็นคุณแก่บุคคลภายนอกแก่ครัวเรือน  หรืออุตสาหกรรมของบุคคลภายนอก ผู้ทำละเมิดจะต้องชดใช้ค่าขาดแรงงานให้แก่บุคคลภายนอกด้วย
                () ถ้ายังไม่ตายทันที เรียกค่ารักษาพยาบาล และค่าประโยชน์ทำมาหากินได้ เพราะไม่สามารถประกอบการงานได้

๒. ค่าสินไหมทดแทนในกรณีทำให้เขาเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยผู้ทำละเมิดต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหาย
                 () ค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอันจำเป็น
                 () ค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ในระหว่างเจ็บป่วย
                 () ค่าเสียหายเพื่อการที่เสียความสามารถประกอบการงาน ทั้งเวลาปัจจุบันและอนาคต เช่นผู้เสียหายถูกทำร้ายร่างกายจนพิการไม่สามารถประกอบการงานได้
                 () ค่าเสียหายที่ขาดแรงงานในครัวเรือนหรืออุตสาหกรรมของคนภายนอก
                 () ค่าเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงิน เช่น ค่าสินไหมที่ต้องตัดขา หน้าเสียโฉมติดตัว ขาพิการ ค่าเสียอนามัยที่ต้องนอนทรมาน เป็นต้น

ส่วนมาตรา ๔๒๕ นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิด ซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้น จากบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้นแยกพิจารณาได้ดังนี้

                 ๑. นายจ้างลูกจ้าง เกิดขึ้นโดยผลของสัญญาที่เรียกว่าสัญญาจ้างแรงงานซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติมาตรา ๕๗๕ ที่ว่า  อันว่าจ้างแรงงานนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าลูกจ้างตกลงจะทำงานให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่านายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้สินจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้ หมายความว่า ความเป็นนายจ้างลูกจ้างนั้น กฎหมายมิได้บังคับว่าจะต้องทำเป็นหนังสือต้องมีแบบหรือต้องทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร ฉะนั้น ความเป็นนายจ้างลูกจ้างจึงอาจทำด้วยวาจาสัญญาก็ย่อมเกิดขึ้นได้  ดังนั้น เมื่อมีคดีเกิดขึ้นสู่ศาลฝ่ายนายจ้างเขาก็จะปฏิเสธทันทีว่า เขาไม่ใช่นายจ้าง เหตุที่อ้างเช่นนี้ก็เพื่อเขาจะได้ไม่ต้องรับผิดร่วมกับผู้ทำละเมิดนั้นเอง ฉะนั้น ในการพิจารณาว่าเป็นนายจ้างลูกจ้างกันหรือไม่ก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าตัวนายจ้างเขามีอำนาจควบคุม บังคับบัญชาหรือสั่งการหรือไม่

ดังนั้น การพิจารณาว่าอย่างไรคือความเป็นนายจ้างและลูกจ้าง ก็คือ
                 ๑) สัญญาจ้างแรงงานเกิดขึ้นโดยผลของกฎหมาย แม้กฎหมายจะมิได้กำหนดแบบเอาไว้ แค่การตกลงกันด้วยวาจาก็ถือว่าเป็นสัญญาจ้างแรงงานได้
                 ๒) ลูกจ้างตกลงกระทำการงานให้แก่นายจ้าง ไม่ว่าจะเป็นการมอบหมายให้กระทำหรือปฏิบัติตามคำสั่งก็ตาม
                ๓) นายจ้างตกลงจะให้สินจ้าง สินจ้างคือผลประโยชน์ตอบแทนที่ลูกจ้างพึงจะได้รับรับจากการทำงานให้นายจ้าง ซึ่งอาจจะจ่ายให้เป็นรายวัน รายเดือน และมิได้หมายความเฉพาะตัวเงินเท่านั้น แต่ให้หมายความรวมถึงทรัพย์สินอื่นๆ เช่น จ่ายเป็นค่าอาหาร จ่ายเป็นค่าที่อยู่อาศัยก็ได้ ฯลฯ
                 ๔) นายจ้างมีอำนาจควบคุม และบังคับบัญชาลูกจ้าง


                   ๒. ทางการที่จ้างนั้น ก็คือ ดูจากกรณีที่นายจ้างสั่งหรือมอบหมายให้ปฏิบัติ และกรณีที่ลูกจ้างปฏิบัติหน้าที่ไปเองเพื่อที่จะให้งานที่ได้รับมอบหมายนั้นสำเร็จลุล่วงไป กรณีที่นายจ้างสั่งหรือมอบหมายให้ปฏิบัติ หมายความว่า นายจ้างสั่งหรือมอบหมายให้ทำอะไรย่อมเป็นทางการที่จ้างทั้งหมด แม้งานที่สั่งหรือมอบหมายนั้นจะมิใช่งานในหน้าที่ประจำก็ตาม ถ้านายจ้างสั่งแล้วย่อมถือว่าเป็นทางการที่จ้างทั้งสิ้น และในกรณีที่ลูกจ้างปฏิบัติหน้าที่ไปเอง เพื่อที่จะให้งานที่ได้รับมอบหมายนั้นสำเร็จลุล่วงไป หมายความว่าเป็นงานที่นายจ้างมิได้สั่งโดยตรง แต่เป็นเรื่องของลูกจ้างได้ปฏิบัติหน้าที่ไปเอง ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ของลูกจ้างที่ว่านั้นทำไปเพื่อที่จะทำให้งานที่ได้รับมอบหมายนั้นสำเร็จลุล่วงไป ก็ถือได้ว่าเป็นทางการที่จ้าง

                   ๓. ความรับผิดของนายจ้าง โดยทั่วไปหากจะให้นายจ้างร่วมรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิดที่ลูกจ้างกระทำนั้น จะต้องได้ความว่าเป็นนายจ้างลูกจ้างกัน และเหตุละเมิดที่เกิดขึ้นนั้นลูกจ้างได้กระทำไปในขณะที่ทำการงานให้แก่นายจ้าง หรือกระทำไปในทางการที่จ้าง

                   ๔. สิทธิไล่เบี้ยของนายจ้าง นายจ้างจะไล่เบี้ยได้ก็แต่เฉพาะค่าสินไหมทดแทนที่นายจ้างต้องรับผิดแทนลูกจ้างไป  ถ้าเป็นค่าเสียหายอย่างอื่นซึ่งมิใช่ผลโดยตรงจากการกระทำละเมิด นายจ้างจะไล่เบี้ยไม่ได้



ความรับผิดของเจ้าหน้าที่ในเหตุละเมิด
๐๐๐๐๐ เมื่อเราได้ศึกษาในเรื่องละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว ต่อไปผู้เขียนจะขอเสนอเรื่อง "ความรับผิดของเจ้าหน้าที่ในเหตุละเมิด" เป็นลำดับต่อไป เรื่องของความรับผิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐในเหตุละเมิดนี้ ได้บัญญัติอยู่ในพระราชบัญญัติ ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดอันเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่, การฟ้องคดีละเมิดอันเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่, การเรียกร้องและการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากเจ้าหน้าที่

พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 นี้ มีประเด็นสำคัญที่แยกพิจารณาได้ดังนี้

                    ประเด็นแรก กำหนดความรับผิดของเจ้าหน้าที่หรือความรับผิดของหน่วยงานที่มีต่อผู้เสียหาย
มาตรา ๕ "หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหายในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าวได้โดยตรง แต่จะฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้
          ถ้าการละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ได้สังกัดหน่วยงานของรัฐแห่งใดให้ถือว่ากระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานของรัฐที่ต้องรับผิดตามวรรคหนึ่ง"  

มาตรา ๖  ถ้าการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่มิใช่การกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ เจ้าหน้าที่ต้องรับผิดในการนั้นเป็นการเฉพาะตัว ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจฟ้องเจ้าหน้าที่ได้โดยตรง แต่จะฟ้องหน่วยงานของรัฐไม่ได้

มาตรา ๗  ในคดีที่ผู้เสียหายฟ้องหน่วยงานของรัฐ ถ้าหน่วยงานของรัฐเห็นว่าเป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ต้องรับผิดหรือต้องร่วมรับผิด หรือในคดีที่ผู้เสียหายฟ้องเจ้าหน้าที่ถ้าเจ้าหน้าที่เห็นว่าเป็นเรื่องที่หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดหรือต้องร่วมรับผิด หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ดังกล่าวมีสิทธิขอให้ศาลที่พิจารณาคดีนั้นอยู่เรียกเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐ แล้วแต่กรณี เข้ามาเป็นคู่ความในคดี
          ถ้าศาลพิพากษายกฟ้องเพราะเหตุที่หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ที่ถูกฟ้องมิใช่ผู้ต้องรับผิด ให้ขยายอายุความฟ้องร้องผู้ที่ต้องรับผิดซึ่งมิได้ถูกเรียกเข้ามาในคดีออกไปถึงหกเดือนนับแต่วันที่คำพิพากษานั้นถึงที่สุด

๐๐๐๐ เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นว่า พระราชบัญญัตินี้ได้กำหนดให้เกิดความรับผิดขึ้นตามมาตราต่างๆ ข้างต้นเมื่อได้มีการทำ ละเมิดต่อผู้เสียหายโดยเจ้าหน้าที่ซึ่งเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการ โดยผลของการละเมิดดังกล่าวเป็นผลให้ เจ้าหน้าที่ผู้ทำละเมิดกับ หน่วยงานของรัฐมีความรับผิดในมูลละเมิดดังกล่าว แต่กฎหมายได้กำหนดเงื่อนไขการใช้สิทธิในการฟ้องคดี เพื่อเรียกร้องสินไหมทดแทนไว้คือ ให้ผู้เสียหายฟ้องคดีได้เฉพาะหน่วยงานของรัฐเท่านั้น โดยไม่อาจฟ้องตัวเจ้าหน้าที่ผู้ทำละเมิดนั้นได้  แต่ถึงแม้ว่าจะฟ้องคดีละเมิดต่อเจ้าหน้าที่ผู้ทำละเมิดไม่ได้ แต่หากหน่วยงานของรัฐที่ร่วมรับผิดนั้นอาจใช้สิทธิขอให้ศาลที่พิจารณาคดีเรียกเจ้าหน้าที่ผู้ทำละเมิดนั้นมาเป็นคู่ความในคดีก็ได้ แต่ถ้าในการทำละเมิดดังกล่าว หากเป็นการทำละเมิดไปโดยไม่ได้เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีเช่นนี้ผู้ที่ต้องรับผิดในมูลละเมิดนั้นก็คือ เจ้าหน้าที่ผู้ทำละเมิดเท่านั้น หน่วยงานของรัฐไม่ต้องร่วมรับผิดด้วย

*** หากมีกรณีฟ้องผิดไป คือฟ้องหน่วยงานของรัฐแทนที่จะฟ้องเจ้าหน้าที่  พระราชบัญญัตินี้ได้ขยายอายุความการฟ้องคดีละเมิด  ออกไปอีก ๖ เดือนนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดยกฟ้อง

หลักกฎหมายในการพิจารณาว่าการกระทำเป็น ละเมิดหรือไม่ ใช้หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และคำว่า หน่วยงานของรัฐดังกล่าวหมายถึง กระทรวง ทบวง กรม ส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย และหน่วยงานที่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดว่าให้เป็น หน่วยงานของรัฐตามกฎหมายนี้  

ดังนั้น เมื่อเกิดกรณีการทำละเมิดอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ผู้เสียหายสามารถดำเนินการเพื่อเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายดังกล่าวได้สองทางคือ
๑. ใช้สิทธิในการฟ้องคดีต่อศาล หรือ
๒.เรียกร้องขอให้หน่วยงานของรัฐชดใช้ค่าสินไหมทดแทน แทนการฟ้องคดีต่อศาล ตามมาตรา ๑๑ ที่กำหนดว่า "ในกรณีที่ผู้เสียหายเห็นว่า หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดตามมาตรา ๕ ผู้เสียหายจะยื่นคำขอต่อหน่วยงานของรัฐให้พิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายที่เกิดแก่ตนก็ได้......ให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาคำขอที่ได้รับตามวรรคหนึ่งให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวัน......"    โดยการยื่นคำร้องเป็นหนังสือต่อหน่วยงานของรัฐ โดยให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาคำขอให้เสร็จภายใน ๑๘๐ วัน และอาจขยายได้อีกไม่เกิน ๑๘๐ วัน

๐๐๐๐พระราชบัญญัตินี้ได้กำหนดเงื่อนไขการใช้สิทธิไล่เบี้ยระหว่างเจ้าหน้าที่กับหน่วยงานของรัฐ กรณีที่เจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายไปแล้วด้วย

ประเด็นที่สอง กำหนดความรับผิดของเจ้าหน้าที่ที่มีต่อหน่วยงานของรัฐที่เสียหาย ในพระราชบัญญัตินี้กำหนดเงื่อนไขความรับผิดในมูลละเมิดของเจ้าหน้าที่ไว้อีกประการหนึ่งก็คือ เป็นการทำละเมิดของ เจ้าหน้าที่ ต่อ หน่วยงานของรัฐ  โดยรัฐเป็นผู้เสียหายจากการทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ ซึ่งกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ได้กำหนดผลในทางกฎหมายไว้ ๒ ประการ ได้แก่

๐ ประการแรก กรณีที่การทำละเมิดเกิดจากการปฏิบัติในหน้าที่  เมื่อเกิดกรณีเจ้าหน้าที่คนใดได้ปฏิบัติราชการโดยจงใจ หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง แล้วเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อหน่วยงานของรัฐ กรณีเช่นนี้ เป็นผลให้เจ้าหน้าที่ผู้นั้นต้องรับผิดต่อหน่วยงานของรัฐ โดยหน่วยงานของรัฐมีอำนาจในการมีคำสั่งเรียกให้เจ้าหน้าที่ผู้นั้นชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเต็มจำนวนหรือบางส่วนก็ได้ โดยอาจคำนึงถึงส่วนรับผิดชอบของหน่วยงานโดยไม่ต้องฟ้องศาล  หากเป็นกรณีที่มีผู้ทำละเมิดที่เป็นเจ้าหน้าที่มีหลายคน ก็ไม่นำหลักเรื่องลูกหนี้ร่วมในมูลละเมิดมาใช้บังคับกับการเรียกให้เจ้าหน้าที่ทั้งหลายที่ทำละเมิดชดใช้ค่าเสียหาย  การชำระค่าสินไหมทดแทนของเจ้าหน้าที่ที่ทำละเมิดดังกล่าวสามารถผ่อนชำระได้ โดยคำนึงถึงรายได้ ฐานะครอบครัว ความรับผิดชอบ และพฤติการณ์ต่างประกอบกัน  และหน่วยงานของรัฐที่เป็นผู้เสียหายต้องใช้สิทธิเรียกให้เจ้าหน้าที่ที่ทำละเมิดดังกล่าวชดใช้ค่าสินไหมทดแทนภายใน ๒ ปี นับแต่วันที่รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวเจ้าหน้าที่ผู้ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือภายใน ๑  ปี นับแต่วันที่หน่วยงานของรัฐมีคำสั่งตามความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นว่าเจ้าหน้าที่ต้องรับผิด

๐ ประการที่สอง กรณีที่เป็นการทำละเมิดอันมิได้เกิดจากการปฏิบัติในหน้าที่  ในกรณีเจ้าหน้าที่ใดโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อกระทำการใดที่ไม่ใช่เป็นการปฏิบัติในหน้าที่ เป็นเหตุให้หน่วยงานของรัฐได้รับความเสียหาย ถือว่าเจ้าหน้าที่ผู้นั้นกระทำละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐ ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย  หากหน่วยงานของรัฐเห็นว่าเจ้าหน้าที่ผู้นั้นจะต้องรับผิด ต้องใช้สิทธิเรียกร้องให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนภายใน ๒ ปี นับแต่วันที่หน่วยงานรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวเจ้าหน้าที่ผู้ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือภายใน ๑ ปี นับแต่วันที่หน่วยงานของรัฐมีคำสั่งตามความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นว่าเจ้าหน้าที่ต้องรับผิด  โดยการใช้
สิทธิเรียกร้องเพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่ทำละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในกรณีนี้ เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

**** ละเมิด เป็นความรับผิดทางแพ่งเมื่อมีข้อพิพาท จึงต้องฟ้องต่อศาลยุติธรรม ในกรณีที่ผู้ทำละเมิดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐการฟ้องร้องก็ต้องฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากเจ้าหน้าที่ผู้กระทำละเมิดโดยตรง ไม่ต้องคำนึงว่าเป็นการกระทำตามหน้าที่หรือไม่ การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ดำเนินกิจการต่างๆ ของหน่วยงานของรัฐ อันเป็นกระทำตามหน้าที่ และถูกฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทน ทำให้บางกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐจึงไม่กล้าตัดสินใจ เพราะเกรงว่าอาจถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายได้

พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.๒๕๓๙ ออกใช้บังคับ เพื่อคุ้มครองการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานตามหน้าที่ โดยกำหนดให้เจ้าหน้าที่ต้องรับผิดทางละเมิด ในการปฏิบัติงานตามหน้าที่เฉพาะเมื่อเป็นการจงใจกระทำเพื่อการเฉพาะตัว หรือจงใจให้เกิดความเสียหายหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเท่านั้น ดังนั้น การฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากการทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำตามตามหน้าที่ จะต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งหากเจ้าหน้าที่เป็นผู้ทำละเมิด อันเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ หน่วยงานของรัฐต้องเป็นผู้รับผิดต่อผู้เสียหายในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐนั้นได้กระทำไป ผู้เสียหายต้องฟ้องหน่วยงานของรัฐ จะฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้ แต่ถ้าไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ ผู้เสียหายอาจฟ้องเจ้าหน้าที่ได้โดยตรง จะฟ้องหน่วยงานของรัฐไม่ได้          

๐๐๐ ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ เขตอำนาจศาล อันเนื่องมาจากการดำเนินการเพื่อให้มีการการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จากการการทำละเมิดของเจ้าหน้าที่จากการปฏิบัติหน้าที่ หรือการไล่เบี้ยสินไหมทดแทนจากเจ้าหน้าที่ผู้ทำละเมิด ถือว่าเป็นคำสั่งทางปกครอง จึงอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง ส่วนกรณีที่เป็นคดีที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลยุติธรรม มีเฉพาะกรณีที่การทำละเมิดของเจ้าหน้าที่เกิดจากการปฏิบัติงาน อันไม่เกี่ยวกับการใช้อำนาจตามกฎหมาย ซึ่งไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง

ตัวอย่างคดีนอกเขตอำนาจศาลปกครอง

๐๐๐๐๐ คำวินิจฉัยที่ ๔๒/๒๕๕๘ คดีที่เอกชนฟ้ององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่ในสังกัด กรณีเจ้าหน้าที่ในสังกัดผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ กระทำการโดยประมาทเลินเล่อละเลยไม่ดูแลเด็กเล็กตามหน้าที่ปล่อยให้ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ รับประทานขนมเอง โดยไม่ได้ตัดขนมเป็นชิ้นเล็กๆ เป็นเหตุให้ขนมติดคอผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ทำให้พลัดตกจากเก้าอี้ศีรษะกระแทกพื้นได้รับอันตรายสาหัสต้องทุพพลภาพ ขอให้บังคับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เห็นว่า แม้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครองมีอำนาจและหน้าที่ในการจัดระบบการบริการสาธารณะในการจัดการศึกษาเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเองแต่ความรับผิดเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่นั้นจะต้องเป็นหน้าที่ที่มีกฎหมายกำหนดไว้อย่างชัดแจ้งเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าลักษณะของพฤติกรรมต่างๆ ที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองอ้าง เป็นการกล่าวถึงการปฏิบัติหน้าที่ควบคุมดูแลนักเรียนในระหว่างการเรียนการสอนของครูผู้ดูแลเด็กเล็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสังกัดผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว เป็นหน้าที่โดยทั่วไปของครูผู้ดูแลเท่านั้น มิใช่การกล่าวอ้างถึงการละเลยต่อหน้าที่ในการจัดระบบบริการสาธารณะในการจัดการศึกษาของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ แต่อย่างใด ดังนั้น ข้อพิพาทในคดีนี้จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แต่เป็นคดีพิพาทที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

เอกสารอ้างอิง  ศ.ศักดิ์  สนองชาติ, 2546, คำอธิบายโดยย่อ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วย ละเมิด และความรับผิดในทางละเมิด, กรุงเทพมหานคร: สนพ.นิติบรรณาการ
สุจิต  ปัญญาพฤกษ์, 2550, หลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์, กรุงเทพมหานคร
พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙,  
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นกระทรวงมหาดไทย : แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่
คำบรรยายเนติบัณฑิต สมัยที่ ๖๒






สุขสันต์ในวันหยุด บุญรักษาทุกท่านนะคะ
By กานต์ ๑๓/๕/๖๐ 😉








ไม่มีความคิดเห็น:

มุมมองทิเบตในสายตาของข้าพเจ้า

  ตอนที่ ๑           บทความวันนี้ข้าพจ้ามีความตั้งใจขอเสนอเรื่องราวของชาวทิเบต หลายท่านที่เคยติดตามข้าพเจ้ามาก่อนหน้านี้ จะทราบว่าข้าพเจ้ามี...