“อุ้มบุญหรือการค้า”
อันเนื่องมาจากข่าวที่โด่งดังและสร้างความงุนงงแก่ประชาชนในกรณีที่
เจ้าหน้าที่ศุลกากรจังหวัดหนองคายจับกุม นายนิธินทน์ ศรีธานิยานันท์ อายุ ๒๕ ปี พร้อมของกลางคือถังไนโตรเจน
ภายในบรรจุหลอดใส่อสุจิจำนวน ๖ หลอด ซึ่งเป็นอสุจิของชาวจีนและชาวเวียดนาม
ขณะกำลังเดินทางออกนอกประเทศ ณ ด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย-ลาว จังหวัดหนองคาย
ประเด็นที่เป็นข้อสงสัยของประชาชนส่วนใหญ่คือ การนำเข้าหรือส่งออก
น้ำเชื้อหรืออสุจินั้น เป็นความผิดตามกฎหมายด้วยหรือไม่
ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์การแพทย์
พ.ศ. ๒๕๕๘ นั้น ได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนในมาตรา ๔๑ ไว้ว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดซื้อ
เสนอซื้อ ขาย นําเข้า หรือส่งออก ซึ่งอสุจิ ไข่ หรือตัวอ่อน” ดังนั้น
การกระทำตามข่าวดังกล่าวจึงเข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กฯ มาตรานี้
ส่วนการ “อุ้มบุญ” หรือการตั้งครรภ์
ในกรณีสามีภริยาที่มีข้อบกพร่องในการมีบุตรนั้น
กฎหมายตามพระราชบัญญัตินี้ได้กำหนดวิธีการ “อุ้มบุญ” ให้ถูกต้องตามกฎหมายไว้
ซึ่งหมายความว่า ตั้งแต่พระราชบัญญัตินี้ได้ประกาศใช้แล้วประเทศไทยได้อนุญาตให้ใช้เทคโนโลยีช่วยในการเจริญพันธุ์เพื่อให้สามีภริยาที่ไม่สามารถมีบุตรได้เองตามธรรมชาติ
ได้มีโอกาสมีบุตรโดยถูกต้องตามกฎหมาย ก่อนหน้าที่ประเทศไทยจะออกพระราชคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันทางการแพทย์นั้น
ได้มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางว่า การ ”อุ้มบุญ” นั้น เป็นการผิดศีลธรรมหรือไม่
ซึ่งบางฝ่ายเห็นว่า การตั้งครรภ์แทน (Surrogacy)
เป็นกิจกรรมที่ฝ่าฝืนธรรมชาติของมนุษย์ เป็นการแสวงหาผลประโยชน์จากเนื้อตัวร่างกายโดยมิชอบ
ก่อให้เกิดอาชีพรับจ้างตั้งครรภ์ อันเป็นการกระทำไม่ต่างกับการซื้อขายเด็ก ผิดศีลธรรม
มีผลกระทบต่อเด็กและสังคมโดยรวม หากภายหลังเด็กคลอดออกมาเป็นการคลอดก่อนกำหนด,
เด็กพิการ หรือระหว่างตั้งครรภ์
สามีภริยาที่ให้ผู้อื่นตั้งครรภ์แทนเกิดเปลี่ยนใจภายหลังจะทำอย่างไรต่อเด็กที่เกิดมา
หรือคลอดมาปรากฏว่าเป็นแฝดหลายคน แต่สามีภริยานั้น ต้องการบุตรเพียงคนเดียว
แฝดที่เหลือจะทำเช่นไร ใครจะดูแล ซึ่งผู้ที่ไม่ เห็นด้วยมีความเห็นว่า เป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนย่อมตกเป็นโมฆะ[1]
ก่อนหน้านั้นการตั้งครรภ์แทนไม่มีกฎหมายบัญญัติว่า
บุคคลที่เกี่ยวข้องมีความผิดและมีโทษทางอาญา ยกเว้นแต่มีการใช้เทคโนโลยีการเจริญพันธุ์ไปเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจจนเกิดการซื้อขายเด็ก
อันการกระทำความผิดเข้าข่ายการค้ามนุษย์ ซึ่งผู้เกี่ยวข้องทั้งสถานพยาบาล แพทย์ ผู้ซื้อและผู้ขาย
ก็ถือว่ามีความผิดเช่นเดียวกัน
อีกประเด็นที่ผู้เขียนเห็นว่าควรทราบไว้เพื่อเป็นความรู้ถึงความแตกต่างระหว่าง
“อุ้มบุญ” กับ เด็กหลอดแก้ว
ซึ่งมีความแตกต่างกัน ความหมายของ “เด็กหลอดแก้ว” (In Vitro
Fertilisation) หมายถึง ขั้นตอน การปฏิสนธิสังเคราะห์ โดยการนำเซลล์ไข่
ออกมาจากร่างกายของผู้หญิง แล้วปล่อยให้สเปิร์ม ทำการปฏิสนธิกับไข่ภายในภาชนะบรรจุของเหลว
หลังจากนั้น
จึงถ่ายไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิแล้วไปยังมดลูกของผู้หญิงเพื่อให้การตั้งครรภ์นั้นสมบูรณ์
ส่วนการ “อุ้มบุญ” คือ การเลือกผู้หญิงที่มาตั้งครรภ์กับอสุจิที่เตรียมไว้ เมื่อไข่และอสุจิปฏิสนธิกันเกิดเป็นตัวอ่อนแล้วจึงทำการผ่าตัดย้ายตัวอ่อนเข้าโพรงมดลูก[2]
ในปัจจุบันนี้ประเทศไทยได้มีพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์การแพทย์
พ.ศ. ๒๕๕๘ ขึ้นมาบังคับใช้ การ “อุ้มบุญ” หรือการตั้งครรภ์แทนโดยใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์เข้ามาช่วยจึงเป็นสิ่งที่ทำได้ตามกฎหมาย
ผู้เขียนได้สรุปมาตราสำคัญเกี่ยวกับพระราชบัญญัติฉบับนี้มาไว้เพื่อศึกษากัน ดังนี้
พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์
พ.ศ. ๒๕๕๘
พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์การแพทย์
พ.ศ.๒๕๕๘ ในคราวประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๘ วันพฤหัสบดีที่ ๑๙
กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘
ที่ประชุมได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์
ทางการแพทย์ พ.ศ. .... (คณะรัฐมนตรี
ผู้เสนอ) ที่ประชุมลงมติสมควรประกาศเป็นกฎหมาย จากนั้นนำขึ้น
ทูลเกล้าฯ
เพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๒ ตอนที่ ๓๘ ก/ หน้า ๑/๑
พฤษภาคม ๒๕๕๘
@ เด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์การแพทย์
หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า “อุ้มบุญ”
เป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของสังคมโดยทั่วไป
เพราะเป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ช่วยผู้ที่มีบุตรยากให้มีบุตรได้ด้วยวิธีต่างๆ
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการอุ้มบุญทั้งหมด ได้แก่
เด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์การแพทย์หรือ “เด็กอุ้มบุญ” ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
รวมทั้งสามีและภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมาย
ซึ่งภรรยาไม่อาจตั้งครรภ์ที่ประสงค์จะมีบุตร โดยให้หญิงอื่นตั้งครรภ์แทนและผู้เกี่ยวข้องอื่นๆในกระบวนการนี้
ต้องมีความเข้าใจในกฎหมายเรื่องนี้อย่างดี เพราะมีข้อกฎหมายที่มีความสำคัญกับผู้เกี่ยวข้องอย่างละเอียดที่จะต้องปฏิบัติตามเพื่อให้เกิดความสงบสุขเรียบร้อยในครอบครัว
สำหรับเหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้
คือ โดยที่ความก้าวหน้าทางวิทยาการและเทคโนโลยีทางการแพทย์ในการบำบัดรักษาภาวะ การมีบุตรยากสามารถช่วยให้ผู้ที่มีภาวะ
การมีบุตรยากได้โดยการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธ์ทางการแพทย์ อันมีผลทำให้บทบัญญัติของกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันในเรื่องความเป็นบิดามารดาที่ชอบด้วยกฎหมายของเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์การแพทย์ไม่สอดคล้องกับความสัมพันธ์ในทางพันธุกรรม
ดังนั้นเพื่อกำหนดสถานะความเป็นบิดามารดาที่ชอบด้วยกฎหมายของเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์การแพทย์ให้เหมาะสม
ตลอดจนควบคุมการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์เกี่ยวกับตัวอ่อนและเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์การแพทย์มิให้มีการนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง
พระราชบัญญัตินี้มีประเด็นที่น่าสนใจ
โดยสรุปได้ดังนี้
๑. คำนิยามศัพท์
คำนิยามศัพท์ที่ใช้ในพระราชบัญญัตินี้
ได้แก่ “อสุจิ” หมายความว่า
เซลล์สืบพันธุ์ของเพศชาย
“ไข่” หมายความว่า
เซลล์สืบพันธุ์ของเพศหญิง
“การผสมเทียม” หมายความว่า การนำอสุจิเข้าไปในอวัยวะสืบพันธุ์ของหญิงเพื่อให้หญิงนั้นตั้งครรภ์
โดยไม่มีการร่วมประเวณี
“เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์การแพทย์” หมายความว่า กรรมวิธีใดๆ ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่นำอสุจิและไข่ออกจากร่างกายมนุษย์
เพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์โดยไม่เป็นไปตามธรรมชาติ รวมทั้งการผสมเทียม
“ตัวอ่อน” หมายความว่า
อสุจิและไข่ของมนุษย์ซึ่งรวมกันจนเกิดการปฏิสนธิไปจนถึงแปดสัปดาห์
“ทารก” หมายความว่า
ตัวอ่อนของมนุษย์ที่มีอายุเกินกว่าแปดสัปดาห์ ไม่ว่าจะอยู่ในหรือนอกมดลูกของมนุษย์
“การตั้งครรภ์แทน” หมายความว่า
การตั้งครรภ์โดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์การแพทย์ โดยหญิงที่รับตั้งครรภ์แทนมีข้อตกลงเป็นหนังสือไว้กับสามีและภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายก่อนตั้งครรภ์ว่าจะให้ทารกในครรภ์เป็นบุตรของสามีและภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายนั้น
๒. การให้บริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์การแพทย์
๒.๑ ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมซึ่งเป็นผู้ให้บริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์การแพทย์
ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามและต้องปฏิบัติตามมาตรฐานในการให้บริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์การแพทย์
ทั้งนี้ ตามที่แพทยสภาประกาศกำหนดโดยให้ความเห็นชอบของคณะกรรมการ (มาตรา ๑๕)
๒.๒ ก่อนให้บริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์
ผู้ให้บริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์การแพทย์จะต้องจัดให้มีการตรวจและประเมินความพร้อมทางด้านร่างกาย
จิตใจ และสภาพแวดล้อมของผู้ขอรับบริการ หญิงที่รับตั้งครรภ์แทนและผู้บริจาคอสุจิหรือไข่ที่จะนำมาใช้ดำเนินการ
รวมทั้งการป้องกันโรคที่อาจมีผลกระทบต่อเด็กที่จะเกิดมาด้วย ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขที่แพทยสภาประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ (มาตรา ๑๖)
๓. เงื่อนไขในการดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทน
ตามมาตรา ๒๑ มีดังนี้
๑) สามีและภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งภริยาไม่อาจตั้งครรภ์ได้ที่ประสงค์จะมีบุตรโดยให้หญิงอื่นตั้งครรภ์แทน
ต้องมีสัญชาติไทย ในกรณีที่สามีหรือภริยามิได้มีสัญชาติไทย ต้องจดทะเบียนสมรสมาแล้วไม่น้อยกว่าสามปี
(จดทะเบียนโดยชอบด้วยกฎหมายตามสัญชาติของผู้นั้น)
๒) หญิงที่รับตั้งครรภ์แทนต้องมิใช่บุพการีหรือผู้สืบสันดานของสามีหรือภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายตาม
๑)
๓)
หญิงที่รับตั้งครรภ์แทนต้องเป็นญาติสืบสายโลหิตของสามีหรือภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายตาม
ข้อ ๑) ในกรณีที่ไม่มีญาติสืบสายโลหิตของสามีหรือภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย
ให้หญิงอื่นรับตั้งครรภ์แทนได้ (ซึ่งเป็นยกเว้นที่สามีภริยานั้นไม่มีญาติสืบสายโลหิต
เพื่อป้องกันการรับจ้างตั้งครรภ์)
๔)
หญิงที่รับตั้งครรภ์แทนต้องเป็นหญิงที่เคยมีบุตรมาก่อนแล้วเท่านั้น
ถ้าหญิงนั้นมีสามีที่ชอบด้วยกฎหมายหรือชายที่อยู่กินฉันสามีภริยา
จะต้องได้รับความยินยอมจากสามีที่ชอบด้วยกฎหมายหรือชายดังกล่าวด้วย
๔. การดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนกระทำได้
๒ วิธี ดังต่อไปนี้ (มาตรา ๒)
๑)
ใช้ตัวอ่อนที่เกิดจากอสุจิของสามีและไข่ของภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายที่ประสงค์จะให้มีการตั้งครรภ์
๒)
ใช้ตัวอ่อนที่เกิดจากอสุจิของสามีหรือไข่ของภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายที่ประสงค์จะให้มีการตั้งครรภ์แทนกับไข่หรืออสุจิของผู้อื่น
ทั้งนี้ ห้ามใช้ไข่ของหญิงที่รับตั้งครรภ์แทน
๕. การผสมเทียมมีหลักเกณฑ์มีวิธีการดังนี้
การผสมเทียมต้องกระทำต่อหญิงที่มีสามีที่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นไปตามมาตรฐานการให้บริการเกี่ยวกับการผสมเทียมที่แพทยสภากำหนด
ส่วนการผสมเทียมโดยใช้อสุจิของผู้บริจาคต้องได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากสามีและภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายที่ประสงค์ให้มีการผสมเทียม
(มาตรา ๑๙, ๒๐ )
๖. การรับจ้างตั้งครรภ์นั้นเป็นความผิดตามกฎหมายซึ่งเป็นไปตามมาตรา
๒๔ ห้ามมิให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้ารวมทั้งห้ามกระทำการเป็นคนกลางหรือนายหน้า
โดยเรียก รับหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด
เพื่อเป็นการตอบแทนในการจัดการหรือชี้ช่องให้มีการรับตั้งครรภ์แทน (มาตรา ๒๗) และห้ามประกาศโฆษณาไขข่าวให้แพร่หลายด้วยประการใดๆ
เกี่ยวกับการตั้งครรภ์แทนว่ามีหญิงที่ประสงค์จะเป็นผู้รับตั้งครรภ์แทนผู้อื่น
หรือมีบุคคลที่ประสงค์จะให้หญิงอื่นเป็นผู้รับตั้งครรภ์แทน (มาตรา ๒๘ )
ซึ่งตามกฎหมายดังกล่าวเบื้องต้นนี้หากผู้ใดฝ่าฝืนรับจ้างตั้งครรภ์ตามมาตรา
๒๔ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท ทั้งนี้เป็นไปมาตรา 48
๗. เด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์การแพทย์ไม่ว่าจะเกิดจาก
อสุจิไข่ หรือตัวอ่อนของผู้บริจาค ไม่ว่าจะกระทำโดยการให้ภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของสามีซึ่งประสงค์จะมีบุตรเป็นผู้ตั้งครรภ์
หรือให้มีการตั้งครรภ์แทนโดยหญิงอื่น ให้เด็กนั้นเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของสามีและภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งประสงค์จะมีบุตร
*** ชายหรือหญิงที่บริจาคอสุจิหรือไข่ซึ่งนำมาใช้ปฏิสนธิเป็นตัวอ่อนเพื่อการตั้งครรภ์หรือผู้บริจาคตัวอ่อนและเด็กที่เกิดจากอสุจิ
ไข่ หรือตัวอ่อนที่บริจาคดังกล่าว ไม่มีสิทธิและหน้าที่ระหว่างกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัวและมรดก ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กนี้
มาตรา ๒๙
@การแจ้งเกิดเด็กให้สามีและภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งประสงค์ให้มีการตั้งครรภ์แทนมีหน้าที่แจ้งการเกิด
ของเด็กที่เกิดจากการตั้งครรภ์แทนต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้ง
ตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร
** ในกรณีสามีและภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งประสงค์ให้มีการตั้งครรภ์แทนถึงแก่ความตาย
ก่อนเด็กเกิด ไม่อยู่ในประเทศไทย หรือไม่ปรากฏตัวภายหลังจากการคลอดเด็กนั้น
ให้หญิงที่รับตั้งครรภ์แทนมีหน้าที่แจ้งการเกิดของเด็กที่เกิดจากการตั้งครรภ์แทนดังกล่าว
(มาตรา ๓๒)
@ ห้ามมิให้สามีและภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย
หรือสามีหรือภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งประสงค์
จะมีบุตรโดยการตั้งครรภ์แทนปฏิเสธการรับเด็กที่เกิดจากการตั้งครรภ์แทน
(มาตรา ๓๓)
๘. การควบคุมการดำเนินการเกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์การแพทย์
๑) ห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งมิใช่ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมให้บริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์รวมทั้งรับฝาก
รับบริจาค ใช้ประโยชน์จากอสุจิ ไข่ หรือตัวอ่อน หรือทำให้สิ้นสภาพของตัวอ่อน
(มาตรา ๓๕)
๒) ห้ามมิให้ผู้ใดซื้อ
เสนอขาย นำเข้า หรือส่งออก ซึ่งอสุจิ ไข่ หรือตัวอ่อน (มาตรา ๔๒)
By ณัชกานต์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น