หายหน้าหายตาไปหลายปี ไม่มีเวลามาเขียนบทความหรือให้ความรู้ทางด้านกฎหมายมานานมาก เนื่องจากติดภาระกิจทั้งการงานและการเรียน จำได้ว่าครั้งล่าสุดนั้นได้เขียนบทความเกี่ยวกับฆาตรกรต่อเนื่อง นายสมคิด พุ่มพวง ในมุมมองอาชญาวิทยาก็เป็นเวลาเกือบสามปีแล้ว ในวันนี้ก็จะขออนุญาตเขียนบทความในมุมมองของอาชญาวิทยาเกี่ยวกับข่าวฆ่าหั่นศพที่กำลังสร้างความตกตะลึงและสยองขวัญแก่คนในประเทศในขณะนี้อีกซักครั้ง บทความนี้อาจจะยาวซักหน่อยเนื่องจากผู้เขียนพยายามที่จะเขียนให้ครอบคลุมทฤษฎีทางอาชญาวิทยา และกลุ่มทฤษฎีจิตวิเคราะห์ให้มากที่สุดเพื่ออธิบายถึงการกระทำของผู้กระทำความผิด
ลำดับเหตุการณ์
เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2565 ช่วงสายขณะที่แม่บ้านของ
"คอนโด" แห่งหนึ่งในย่านสำโรงเหนือ ถนนเทพารักษ์ อำเภอเมืองสมุทรปรากการ
จังหวัดสมุทรปราการ กำลังจะเข้าไปทำความสะอาดห้องพักห้องหนึ่งนั้นแต่เปิดห้องผิด
ซึ่งขณะนั้นไม่มีใครอยู่ภายในห้องพัก เมื่อเปิดห้องเข้าไป ก็ได้กลิ่นคาวเลือดและในห้องน้ำมีการเปิดน้ำทิ้งไว้
จึงสงสัยว่าห้องนี้ต้องเกิดเรื่องไม่ดีแน่นอน จึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ เบื้องต้นทราบว่าเมื่อวันที่
28 กันยายน นายชาญวิทย์ กับ น.ส.อรนันท์ หรือพิน อายุ 30 ปี เป็นผู้มาเช่าห้องพักห้องดังกล่าว เมื่อตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดสามารถบันทึกภาพขณะนายชาญวิทย์
เดินออกมาจากลิฟท์ พร้อมถุงขนาดใหญ่ 2 ใบ
เดินถือออกประตูเลี้ยวไปทางขวาซึ่งเป็นที่จอดรถ แต่ไม่พบ น.ส.อรนันท์
เดินออกมาจากห้องแต่อย่างใด ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางมาตรวจสอบห้องพักดังกล่าว
จึงพบกับนายชาญวิทย์ วงศ์สหาก หรือ ดอน วัย 35 ปี นั่งอยู่บนเตียงในห้องพัก จากการสอบถามก็
ยอมรับว่าก่อเหตุฆ่าหั่นศพ น.ส.อรนันท์ และนำชิ้นศพไปฝั่งไว้ที่อื่น
จากการตรวจสอบภายในห้องมีพบคราบเลือด และการทำความสะอาดที่พื้นห้องน้ำ
และตรวจร่องรอยหาพยานหลักฐานต่างๆ และตรวจสอบภายในรถยนต์เก๋ง ฮอนด้า ซิตี้ สีขาว
ทะเบียน ฎล-8211 กรุงเทพมหานคร ที่ นายชาญวิทย์ ใช้ในการขนศพเพื่อนำไปอำพราง
ก่อนควบคุมตัว นายชาญวิทย์ มาสอบสวน ที่ สภ.สำโรงเหนือ
ก่อนจะคุมตัวพาไปชี้จุดที่นำ ชิ้นส่วนร่าง น.ส.อรนันท์ มาฝัง
บริเวณริมถนนประเสริฐมนูกิจ บริเวณตอม่อทางด่วนฉลองรัช ทิศทางมุ่งหน้ารามอินทรา
แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพหมานคร โดยพบว่ามีดินที่ถูกขุดและกลบใหม่
เจ้าหน้าที่จึงขุดลงไปพบถุงดำหลายใบถูกฝังอยู่
ภายในพบว่าเป็นชิ้นส่วนมนุษย์ถูกตัดเป็น 7 ส่วน โดยใบแรก เป็นท่อนแขนซ้าย ใบที่สอง
ส่วนหัว ใบที่สาม ส่วนขาซ้าย ตั้งแต่หัวเข่า ใบที่สี่ส่วนแขนขวา ข้อศอกลงมา
ใบที่ห้า ส่วนขาขวา หัวเข่า ใบที่หก ส่วนลำตัว ต้นคอถึงเอว และใบที่เจ็ด
ส่วนท่อนล่าง เอวถึงหัวเข่า
พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์แถลงว่า
คดีนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เวลาไม่นานก็สามารถจับกุมคนร้ายได้
จุดเริ่มต้นมาจากเมื่อวานนี้(1ต.ค.) ประมาณ 10.00 น. ตำรวจสภ.สำโรงเหนือ
ได้รับแจ้งจากแม่บ้านของคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งภายในซอยสุขุมวิท 115
ว่าพบความผิดปกติเชื่อว่าน่าจะมีเหตุฆาตกรรม เจ้าหน้าที่จึงเดินทางไปตรวจสอบ ระหว่างนั้น
เจ้าหน้าที่พบนายชาญวิทย์ผู้ต้องหาขับรถเก๋ง Honda ย้อนกลับมายังที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่จึงคุมตัวและซักถามโดยนายชาญวิทย์
รับสารภาพว่า ได้มาเปิดห้องพักกับแฟนสาว คือ นางสาวอรนันท์ ผู้เสียชีวิต
เมื่อวันที่ 28 กันยายน จากนั้นได้ใช้อาวุธมีดซึ่งเตรียมมาลงมือแทงนางสาวอรนันท์เป็นจำนวนหลาย
10 แผลจนถึงแก่ความตาย ซึ่งนายชาญวิทย์ วางแผนตระเตรียมมาล่วงหน้า
ส่วนสาเหตุเนื่องจาก ผู้ต้องหาหึงหวงผู้ตายที่เริ่มจะตีจาก
แม้ว่านายชาญวิทย์จะมีครอบครัวอยู่แล้วก็ตาม จากนั้นผู้ต้องหาก็ได้อยู่กับศพ 1 คืน
ก่อนลงมือชำแหละร่างผู้ตายออกเป็นชิ้นส่วน 7 ชิ้น ใส่ถุงดำและใส่ถุงขนาดใหญ่
โดยนำไปฝังดินไว้ที่ใต้ทางด่วน ถนนประเสริฐมนูกิจ
จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงนำตัวไปชี้จุดที่บริเวณทิ้งศพ ตามที่ผู้ต้องหากล่าวอ้าง
จนพบร่างผู้เสียชีวิต
พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ ยังบอกอีกว่า
ผู้ต้องหามีการเตรียมการที่จะฆ่าผู้ตายมานานหลายเดือนโดยมีการไปขุดหลุมฝังศพรอไว้
คือใต้ทางด่วนประเสริฐมนูกิจ ยืนยันผู้ต้องหาไม่มี อาการทางประสาทแต่อย่างใด
จากคำสารภาพของนายชาญวิทย์
เปิดเผยว่าคบหากับน้องพิณมานานกว่า 2 ปี แล้ว
และยอมรับว่าทั้งรักทั้งหลงฝ่ายหญิงมาก
ก่อนเกิดเหตุได้มาเช่าห้องอยู่ด้วยกันเป็นเวลา 5 วัน
แต่ก็ต้องทะเลาะกันอย่างรุนแรง เพราะเกิดจากความหึงหวง
ไม่อยากให้น้องพิณไปไหนไม่มีใคร และต้องการเปิดตัวว่าเป็นแฟนกันที่ต้องฆ่าเนื่องจากระเคะระคายว่าฝ่ายหญิงพยายามตีตัวออกห่างและเกิดมีปากเสียงกัน
จึงใช้อาวุธมีดที่เตรียมมาก่อเหตุฆ่าจนเสียชีวิต ส่วนการชำแหละศพ
ซ่อนเร้นอำพรางนั้น
ได้แนวทางมาจากการดูภาพยนตร์ฆาตกรรมแนวสืบสวนสอบสวนฆ่าหั่นศพของฝรั่ง
จึงนำมาเลียนแบบในการก่อเหตุ วิธีการคือมีการใช้มีดปลายแหลมแทงตามลำตัวของผู้ตายกว่า
10 แผล ส่วนวิธีการหั่นศพ ใช้ขวานที่มีความคมสับตามข้อต่อ
ทำให้ชิ้นส่วนศพขาดในทันที ที่สำคัญคือแผนการทั้งหมดไม่ได้เกิดจากอารมณ์ชั่ววูบ
แต่เกิดจากการวางแผนของนายชาญวิทย์ที่เตรียมการมากว่า 3 เดือนแล้ว
และขุดหลุมเตรียมไว้ก่อนที่จะก่อเหตุ 1 เดือน กลายเป็นคดีสะเทือนขวัญคนทั้งประเทศ
ความเบื้องต้นมาจากข่าวสะเทือนขวัญของคนไทยทั้งประเทศที่มีเหตุการณ์ฆ่าหั่นศพเกิดขึ้นมาอีกครั้ง
หลังจากที่เคยมีคดีทำนองนี้เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง
ซึ่งแต่ละครั้งล้วนเริ่มต้นมาจากความรักมาก่อน จนกระทั่งในที่สุดกลับลงเอยด้วยความตาย
ย้อนรอยคดีฆ่าหั่นศพที่เกิดจากความรัก
คดีแรกของประเทศไทยคือ เมื่อปี 2541
"เสริม สาครราษฎร์" นักศึกษาแพทย์ ชั้นปีที่ 2 ในขณะนั้น ก่อเหตุ "ฆ่าหั่นศพ" น.ส.เจนจิรา พลอยองุ่นศรี
แฟนสาวรุ่นพี่ นักศึกษาแพทย์ ชั้นปี 5 ซึ่งสาเหตุเกิดจาก
นายเสริม ถูก น.ส.เจนจิรา บอกเลิกจึงโกรธ
วางแผนชวนมาที่ห้องพัก เพื่อปรับความเข้าใจ แต่ฝ่ายหญิงยืนยันที่จะเลิก
จึงใช้ปืนจ่อยิงที่ศีรษะจนเสียชีวิต จากนั้นใช้มีดผ่าตัดชำแหละศพ
แยกชิ้นส่วนอวัยวะทิ้งลงชักโครก นำกะโหลกศีรษะทิ้งแม่น้ำบางปะกง คดีนี้นายเสริม
รับสารภาพ ศาลตัดสินจำคุกตลอดชีวิต แต่จำคุกจริง 13 ปี 9
เดือน เพราะขณะอยู่ในเรือนจำ ปฏิบัติตัวดี ได้รับการอภัยโทษ 5
ครั้ง
คดีที่สองได้แก่ คดีเมื่อปี 2544
โดยในคดีนั้นผู้ต้องหาเป็นถึงนายแพทย์
และเหยื่อก็ไม่ใช่คนอื่นไกลแต่ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ต้องหาเองและก็เป็นแพทย์เช่นเดียวกันกับผู้ต้องหา
คดีสะเทือนขวัญนี้ถือเป็นสุดยอดแห่งการฆาตกรรมซ่อนเงื่อนอีกหนึ่งคดี ที่ต้องต่อสู้กันมายาวนาน
ตั้งแต่ต้นปี 2544 ในคดีที่ นพ.วิสุทธิ์ ตกเป็นผู้ต้องหาฆ่าชำแหละศพ พญ.ผัสพร
บุญเกษมสันติ สูตินรีแพทย์ โรงพยาบาลบุรฉัตรไชยากร หรือโรงพยาบาลรถไฟ
ภรรยาของตนเอง ซึ่งกว่าตำรวจจะได้หลักฐาน และกุญแจไขปริศนาคดี
จนนำไปสู่การจับกุมนพ.วิสุทธิ์ นั้นซับซ้อนซ่อนเงื่อนยิ่งนัก
สำหรับตัว นพ.วิสุทธิ์ เองนั้น
นับว่าได้สร้างความสั่นสะเทือนให้แก่วงการแพทย์ไทย
เพราะได้ใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญในการทางแพทย์มาจัดการฆ่าและชำแหละภรรยาตัวเองอย่างแยบยล
จนแทบจะไม่เหลือชิ้นส่วนไว้ให้เป็นหลักฐาน จึงถือเป็นการท้าทายฝีมือทีมสืบสวนสอบสวน
ก่อนจะรวบรวบพยานหลักฐานจนสามารถคลี่คลายคดีและนำตัว นพ.วิสุทธิ์
เข้าสู่กระบวนการพิจารณาในชั้นศาลได้ในที่สุด
คดีที่สามได้แก่ “คดีฆ่าหั่นศพสาวเล็บแดง” คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2557 ชาวบ้านในตำบลสำโรงเหนือ จังหวัดสมุทรปราการ เป็นคนพบชิ้นส่วนมนุษย์ถูกทิ้งไว้ในพงหญ้าใกล้กับปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง
นอกจากนี้ยังมีชาวบ้านในบริเวณพื้นที่ต่าง ๆ ทั้งที่สำโรงเหนือ และแถวถนนสุขุมวิทสายเก่า พบชิ้นส่วนอวัยวะมนุษย์ โดยศพของเหยื่อนั้นมีลักษณะเด่นคือทาเล็บสีแดง เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบก็พบว่าอวัยวะที่พบในสถานที่ต่าง ๆ มาจากคนเดียวกันคือ น.ส.สมยศ นมัสการ ภายหลังจากที่สืบสวนคดีก็ได้รู้ว่าคนร้ายคือ นายธานี พ่อแก้ว แฟนเก่าของสมยศ โดยเหตุแห่งการฆาตกรรมสยองในครั้งนี้มาจากความหึงหวง ภายหลังจากที่พบศพของ น.ส. สมยศ ได้สามวัน ตำรวจก็ได้เข้าจับกุมตัวนายธานีทันที ทั้งนี้นายธานีก็ได้รับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือก่อเหตุจริง โดยหลักฐานที่ตำรวจพบหลังเข้าจับกุมคือรูปวาดของนายธานีที่วาดภาพ น.ส.สมยศ ไว้เพื่อวางแผนว่าจะชำแหละส่วนใดของศพก่อน สุดท้ายแล้วหลังถูกจับกุมตัว ศาลชั้นต้นก็ได้ตัดสินลงโทษนายธานีด้วยการให้ประหารชีวิต
ปิดท้ายกันด้วย คดี "เปรี้ยวหั่นศพ"
เกิดขึ้นเมื่อประมาณปี 2560
มีผู้พบศพหญิงสาวถูกหั่นเป็น 2 ท่อน ถูกฝังดินในป่าบ้านโนนสง่า ต.คำม่วง
อ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนจนพบว่า ผู้ตายคือ น.ส.วาริสรา
กลิ่นจุ้ย หรือน้องแอ๋ม อายุ 23 ปี สาวคาราโอเกะ
จึงแกะรอยไล่ตั้งแต่ร้านคาราโอเกะ ตรวจ"กล้องวงจรปิด"
จนได้เบาะแสมีรถต้องสงสัยมารับน้องแอ๋ม ที่หน้าปากซอยหอพัก ก่อนที่จะพบเป็นศพถูกหั่น
ต่อมาตำรวจขอศาลจังหวัดขอนแก่นออกหมายจับ น.ส.ปรียานุช โนนวังชัย หรือ เปรี้ยว,
น.ส.กวิตา ราชดา หรือ เอิร์น, น.ส.อภิวันทน์
สัตยบัณฑิต หรือ แจ้, นายวศิน นามพรม และต่อมาออกหมายจับ
น.ส.จิดารัตน์ พรหมคุณ หรือ เบนซ์ อีกคน ส่วนนายวศิน ถูกจับได้ที่ สปป.ลาว ขณะที่
เปรี้ยว เอิร์น และแจ้ หนีไปกบดานที่พม่า แต่ต่อมาทางการพม่า จับกุมตัวทั้ง 3 คน
ส่งให้เจ้าหน้าที่ไทยดำเนินคดี ส่วนสาเหตุที่ลงมือฆ่าหั่นศพ
เนื่องจากมีปัญหาหนี้สินเก่าที่ยืมไปประมาณ 3-4 หมื่นบาท และเรื่องคดียาเสพติด
คดี "ฆ่าหั่นศพ" หากสังเกตดูจะพบว่าส่วนใหญ่
เริ่มต้นมาจากความรัก ก่อนจะกลับกลายเป็นความแค้น จากนั้นจึงเกิดบันดาลโทสะ
เลยลงมือฆ่าแล้วหั่นศพทิ้ง เพื่อขนย้ายไปทิ้งได้สะดวกและ "อำพรางคดี"
แต่แท้จริงแล้วมันกลับสะท้อนถึงความเสื่อมโทรมในสังคม คุณธรรม และศีลธรรม
ในกรณีของนายชาญวิทย์ หรือดอน วงศ์สหาก ได้เกิดประเด็นข้อสงสัยของสังคม
ถึงพฤติกรรมของนายดอน ทีให้การกับตำรวจถึงแรงจูงใจในการก่อเหตุ ซึ่งนายดอนพูดจาเหมือนกลับไม่สะทกสะท้านในความผิดและยังมีบางช่วงที่นายดอนยิ้ม
ขณะตอบคำถามของตำรวจจนถูกตั้งข้อสังเกตุว่า นายดอนเป็นไซโคพาธ หรือมีอาการทางจิตหรือไม่นั้น
รองศาสตราจารย์ พันตำรวจโทดอกเตอร์ กฤษณพงศ์ พูตระกูล ผู้ช่วยอธิการบดีและประธานกรรมการคณะอาชญวิทยา
มหาวิทยาลัยรังสิต ให้สัมภาษณ์ยืนยันว่าจากการดูพฤติกรรมของผู้ต้องหาแล้วไม่ใช่เป็นคนที่ป่วยทางจิต
คือ คนบ้าหรือคนที่พูดไม่รู้เรื่อง แต่เป็นลักษณะของคนที่มีบุคคลิคต่อต้านสังคมไม่รู้สึกผิดชอบชั่วดี
หรือสำนึกผิดในการกระทำเพราะผู้ต้องหาสามารถตอบคำถามได้และพูดจารู้เรื่อง
อีกทั้งผู้ต้องหายังมีการวางแผนมานานถึง 3 เดือนที่จะก่อเหตุมีการวางแผนที่จะลงมือก่อเหตุ
ซึ่งแตกต่างจากคนที่ป่วยทางจิต
มุมมองทางอาชญาวิทยาในคดีนายชาญวิทย์หรือดอน วงศ์สหาก
ทฤษฎีอาชญาวิทยาแนวสังคมวิทยา (Sociological theories of crime) ในมุมของอาชญาวิทยา การกระทำผิดของบุคคลนั้น
นอกจากการลงมือกระทำเพราะถูกกดดันจากสังคม ที่รู้จักกันดีในกลุ่มนักอาชญาวิทยาว่า
คือทฤษฎีอาชญาวิทยาแนวสังคมวิทยา (Sociological theories of crime) ทฤษฎีกลุ่มนี้เชื่อว่า ปัจจัยภายนอกร่างกายมนุษย์ เช่น
สภาพแวดล้อมทางสังคม เป็นสาเหตุที่ทำให้คนมีพฤติกรรมอาชญากรรม เมื่อพิจารณาในกรณีของนายชาญวิทย์
หรือดอนแล้ว จะเห็นว่า นายชาญวิทย์เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและชีวิตส่วนตัวพอสมควร
ดังนั้น จึงไม่อาจนำทฤษฎีแนวสังคมวิทยามาวิเคราะห์ได้อย่างสมบูรณ์นัก แต่ต้องนำแนวคิดด้านจิตวิทยามาอธิบายพฤติกรรมอาชญากรรมของเขาด้วย
โดยแนวคิดด้านจิตวิทยามีความเชื่อว่า
พฤติกรรมอาชญากรรมเกิดจากความผิดปกติทางด้านจิตใจของบุคคล ดังนั้น
อาชญากรรมจึงเป็นผู้ที่มีความผิดปกติและความกดดันทางด้านจิตใจ
แนวคิดนี้จึงเป็นการอธิบายอาชญากรรมด้วยลักษณะทางจิตและบุคลิกภาพของบุคคล
นักอาชญาวิทยาแนวจิตวิทยาที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดคือ ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) ซึ่งเป็นจิตแพทย์
และเป็นเจ้าของทฤษฎีจิตวิเคราะห์ โดยหลักการพื้นฐานของทฤษฎีจิตวิเคราะห์คือ
พฤติกรรมของมนุษย์ส่วนมากเกิดจากจิตภาคและชีวภาค โครงสร้างทฤษฎีนี้มีองค์ประกอบ ๓
ส่วนคือ
อิด (Id) ส่วนที่เกี่ยวกับสัญชาตญาณที่ผลักดันให้บุคคลมีพฤติกรรม
เพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง เปรียบได้เหมือนความชั่วร้ายในตัวบุคคลที่มีความต้องการไม่สิ้นสุด
อัตตา (Ego) คือส่วนที่ตระหนักถึงความเป็นจริงของบุคคล
มีหน้าที่ในการประสานความต้องการของอิดกับส่วนควบคุมของอภิอัตตา
อันจะนำมาสู่การแสดงออกของพฤติกรรมของบุคคล
อภิอัตตา (Superego) เป็นส่วนที่อยู่ตรงข้ามกับอิด หากอิดเปรียบได้กับความชั่วร้าย
อภิอัตตาก็เปรียบเหมือนกับส่วนของคุณธรรมหรือความดี
หากเปรียบว่า อิด (id) คือความชั่วร้าย
และอภิอัตรา (Superego) คือความดี อัตรา (Ego) คือตัวประสานระหว่างอิดกับอภิอัตรา
เพื่อควบคุมความสมดุลของพฤติกรรมของบุคคล ให้เป็นไปอย่างเหมาะสม ดังนั้น
อาจกล่าวได้ว่าพฤติกรรมเบี่ยงเบนที่ถูกแสดงออกมานั้น
เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความไม่สมดุลกันระหว่าง อิด อัตตา และอภิอัตตา
ทฤษฎีบุคลิกภาพ (Theories of Personality) นักจิตวิทยาได้พยายามอธิบายพัฒนาการความเป็นมาของบุคลิกภาพ
ซึ่งแนวความคิดในการพยายามอธิบายพัฒนาการของบุคลิกภาพของแต่ละกลุ่มมีทั้งส่วนที่คล้ายคลึงกันและแตกต่างกัน
ส่วนที่แตกต่างกันนั้นเนื่องมาจากนักจิตวิทยาแต่ละกลุ่มมีความเชื่อในธรรมชาติของมนุษย์ที่แตกต่างกัน
ซึ่งจัดแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มจิตวิเคราะห์ (The Psychoanalytic
Model) มีความเชื่อว่า โดยธรรมชาติของมนุษย์ มีความต้องการที่จะสนองความสุขของตนเอง
และมีความก้าวร้าวติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด ซึ่งความต้องการ ดังกล่าวมักไม่สอดคล้องกับการยอมรับของสังคมโดยทั่วไป
มนุษย์จึงต้องเก็บความต้องการนั้นไว้ในจิตใต้สํานึกซึ่งจะเป็นพลังผลักดันพฤติกรรมของมนุษย์
2. กลุ่มพฤติกรรมนิยม (The
Behavioristic Model) มีความเชื่อว่าพฤติกรรมของมนุษย์ เป็นสิ่งที่สามารถคาดคะเนได้เนื่องจากพฤติกรรมของมนุษย์เกิดจากการตอบสนองเงื่อนไขซึ่งเกิดขึ้นในสิ่งแวดล้อม
โดยธรรมชาติมนุษย์มีทั้งความดีและความชั่วร้าย แต่พฤติกรรมของมนุษย์เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้มนุษย์มีความสามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองไปตามเงื่อนไขของสิ่งแวดล้อม
3. กลุ่มมนุษยนิยม (The Humanistic
Model) มีความเชื่อว่าโดยพื้นฐานแล้วมนุษย์มีแต่ความดี มีความต้องการที่จะพัฒนาไปข้างหน้า
และมนุษย์เป็นผู้กำหนดพฤติกรรมของตนเอง มีอิสระในการเลือกกระทำพฤติกรรมต่างๆ
ด้วยตนเอง
ทฤษฎีบุคลิกภาพ ถือว่าอยู่ในกลุ่มของแนวคิดอาชญาวิทยาแนวจิตวิทยา
โดยทฤษฎีบุคลิกภาพนั้นมองว่าบุคลิกภาพเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดพฤติกรรมอาชญากรรม
จากแนวคิดนี้อาชญากรจึงเป็นบุคคลที่มีบุคลิกภาพแตกต่างจากบุคคลธรรมดา
ซึ่งความผิดปกตินี้สามารถถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรม
ลักษณะความผิดปกติทางบุคลิกภาพเหล่านี้เป็นอาการของพวกต่อต้านสังคมหรือพวกจิตผันผวน
คนเหล่านี้จะมีปัญหาในเรื่องการปรับตัวให้เข้ากับสังคม ดร.ฮาร์เวย์ เครคเลย์
ได้อธิบายถึงลักษณะของคนที่มีอาการจิตผันผวนหรือต่อต้านสังคมไว้ดังนี้ เช่น
เห็นแก่ตัว, ไม่เข้าสังคม, ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของคนอื่น,
ชอบเป็นศัตรูกับคนอื่น, ไม่คำนึงถึงสิทธิของคนอื่น,
มีความผูกพันกับสังคมต่ำ, ชอบตำหนิคนอื่น,
ขาดความรับผิดชอบ, ไม่มีความรู้สึกหรือไร้อารมณ์,
ชอบโกหก, ไม่มีความเสียใจในการกระทำผิดของตน
เป็นต้น
ในกรณีของนายชาญวิทย์นี้ อาจนำแนวคิดด้านจิตวิทยาในกลุ่มของทฤษฎีบุคลิกภาพ
(Theories of Personality) มาอธิบายได้โดยเฉพาะในกลุ่มจิตวิเคราะห์
(The Psychoanalytic Model) มีความเชื่อว่า
โดยธรรมชาติของมนุษย์ มีความต้องการที่จะสนองความสุขของตนเอง และมีความก้าวร้าวติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด
ซึ่งความต้องการดังกล่าวมักไม่สอดคล้องกับการยอมรับของสังคมโดยทั่วไป
เพราะนายชาญวิทย์ต้องการที่จะคบหานางสาวอรนันท์ต่อไปทั้ง ๆ ที่นายชาญวิทย์นั้นก็มีครอบครัวแล้ว
การที่นายชาญวิทย์ต้องการที่จะคบหานางสาวอรนันท์ต่อไปเป็นความต้องการที่จะสนองความสุขของตนเอง
โดยที่ทราบดีอยู่แล้วว่าสังคมไม่อาจยอมรับได้ โดยเฉพาะตัวของนางสาวอรนันท์เอง
ที่พอทราบว่านายชาญวิทย์มีครอบครัวอยู่แล้วจึงพยายามตีตัวออกห่าง
ทำให้นายชาญวิทย์ซึ่งมีพฤติกรรมก้าวร้าวซ่อนอยู่ในตัวไม่สามารถระงับความผิดหวังของตัวเองได้จึงลงมือกระทำการอย่างอย่างโหดเหี้ยม
ทั้งนี้ การตระเตรียมการมาก่อนหลายเดือนโดยเลียนแบบพฤติกรรมการฆ่าหั่นศพมาจากภาพยนตร์ในต่างประเทศนั้น
ตรงกับทฤษฎีบุคลิกภาพในกลุ่มพฤติกรรมนิยม (The Behavioristic Model) ที่กล่าวไว้ว่า พฤติกรรมของมนุษย์เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้มนุษย์มีความสามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองไปตามเงื่อนไขของสิ่งแวดล้อม
นพ.วัลลภ ปิยะมโนธรรม
นักจิตวิทยาและที่ปรึกษาโครงการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์
ม.ศรีนครินทรวิโรฒ กล่าวถึงกรณีของกลุ่มที่มีพฤติกรรมฆ่าหั่นศพว่า
ผู้ที่กระทำการฆ่าหั่นศพมีความผิดปกติทางจิต
จากการศึกษาการฆ่าหั่นศพในหลายๆคดีที่ผ่านมาพบว่า
ผู้ก่อเหตุมีภาวะของจิตใจที่เหี้ยมโหดโดยไม่รู้ตัว โดยสามารถแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มแรกเกิดจากความเคยชินจากประสบการณ์ในชีวิต
เช่น แพทย์ หรือ คนที่ทำงานเกี่ยวกับการฆ่า ชำแหละสัตว์
อย่างที่ผ่านมาเคยเกิดคดีฆ่าหั่นศพจากคนอาชีพเหล่านี้มาแล้ว
เพราะทำจนเกิดความเคยชิน จึงไม่ได้มีความรู้สึกแตกต่างหากจะทำการชำแหละกับมนุษย์
กลุ่มที่ 2 เรียกว่า ทรูม่า (TRAUMA) คือ คนที่มีบาดแผลในใจที่เคยถูกทำร้าย เขาจะเก็บความเจ็บปวดเอาไว้ข้างใน
และต้องการแก้แค้น ต้องการระบายความรู้สึกที่เก็บซ่อนอยู่ออกมา
ซึ่งคนพวกนี้เคยถูกทำร้ายมาก่อน อย่างกรณีฆ่าหั่นศพที่จังหวัดสงขลา
ฆาตกรเคยเห็นเหตุการณ์ที่พ่อแม่ของเขาถูกฆ่าต่อหน้าต่อตาและเขาถูกคนร้ายนำเชือกมารัดคอ
เมื่อโตขึ้นเขานำความเจ็บปวดในวัยเด็กมาระบายออกโดยการฆ่าหั่นศพผู้อื่น
ด้วยการนำเชือกมารัดคอเหมือนที่เขาเคยโดนในวัยเด็ก
และฆ่าหั่นศพเพื่อระบายความเจ็บปวดที่เขาซ่อนอยู่ในจิตใจ
กลุ่มที่ 3 ภาวะการขาดสติชั่ววูบ หรือ
โรคจิตเฉียบพลัน คือเกิดจากความแค้นจนทำให้ขาดสติ จึงได้ลงมือฆ่าหั่นศพ
สับศพเป็นชิ้น ๆ เพื่อบรรเทาโทสะคนก่อเหตุจะมองว่าการฆ่าหั่นศพในขณะนั้นเขาได้รับชัยชนะ
อย่างในกรณี นายเดวิท ที่ถูกฆ่าหั่นศพ โดยนายอาตูร์ ผู้ต้องหาในคดีฆ่าหั่นศพ
อาจมีเรื่องของเงินจำนวนมากเข้ามาพัวพัน อาจเกิดจากการโกงกันหรือทวงหนี้กัน
รวมถึงอาจมีเหตุการณ์ในอดีตที่ทำให้นายอาตูร์ มีความเจ็บปวดอย่างรุนแรง
และต้องการแก้แค้นนายเดวิท ผู้ตาย จึงได้ใช้วิธีฆ่าหั่นศพ
เพื่อชำระแค้นและอำพรางศพ
สอดคล้องกับข้อมูลของ ดร.นัทธี จิตสว่าง
ผู้เชี่ยวชาญอาชญาวิทยากระบวนการยุติธรรมกรมราชทัณฑ์และการวิจัยเชิงคุณภาพ
เปิดเผยว่า พฤติกรรมของคนที่ฆ่าหั่นศพ ส่วนใหญ่มีพฤติกรรมเบียนเบนไปจากคนปกติ
จากที่ผ่านมาผู้ที่ทำการฆ่าหั่นศพส่วนใหญ่ต้องการที่จะปกปิดความผิดของตนเองโดยการหั่นศพและนำศพไปทิ้ง
ซึ่งคนที่สามารถหั่นศพจะต้องมีจิตใจที่แตกต่างจากคนปกติ
คือมีความเยือกเย็นมากกว่าการฆาตกรทั่วไป ส่วนวิธีการอำพรางศพยังมีวิธีอื่นๆที่ฆาตกรสามารถทำได้
แต่คนที่เลือกวิธีการฆ่าหั่นศพอาจกระทำด้วยความแค้น ความสะใจ ในช่วงเวลานั้นๆ
ซึ่งคนที่กระทำวิธีนี้มีความผิดปกติหรือมีบุคลิกที่ผิดจากคนทั่วไป
โดยส่วนใหญ่ผู้ที่ก่อเหตุหลังจากที่เขาฆ่าหั่นศพ คนพวกนี้ไม่ได้มีความรู้สึกผิดไปกับสิ่งที่ทำลงไป
และไม่รู้สึกเสียใจ ซึ่งคนที่ฆ่าหั่นศพหากมองภายนอกจะเหมือนคนทั่วไปใช้ชีวิตในสังคมได้ปกติ
ไม่แสดงความผิดปกติอะไรออกมา แต่จะเป็นความรู้สึกที่ซ่อนเก็บไว้ในจิตใจเบื้องลึก
ซึ่งในความสัมพันธ์กับคนอื่นในสังคมเขาไม่ได้มีการแสดงพฤติกรรมว่าเป็นคนโหดเหี้ยม
แต่อาจจะมีนิสัยที่เงียบขรึมในบางราย
ซึ่งคนปกติทั่วไปไม่สามารถที่จะรับรู้ถึงสิ่งที่เขาซ่อนเก็บไว้ข้างในจนกระทั่งสิ่งที่เขาซ่อนในจิตใจมันผลักออกมาให้เขากระทำออกมาด้วยการฆ่าหั่นศพ
จากข้อมูลของ นพ.วัลลภ ปิยะมโนธรรม
นักจิตวิทยาและที่ปรึกษาโครงการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์
ม.ศรีนครินทรวิโรฒ และ ดร.นัทธี จิตสว่าง ผู้เชี่ยวชาญอาชญาวิทยากระบวนการยุติธรรมกรมราชทัณฑ์และการวิจัยเชิงคุณภาพ
สอดคล้องกับพฤติกรรมของนายชาญวิทย์ ในแง่ที่ว่า เป็นการกระทำด้วยความโกรธแค้นจนทำให้ขาดสติ
จึงได้ลงมือฆ่าหั่นศพ สับศพเป็นชิ้นๆเพื่อบรรเทาโทสะ ในช่วงเวลานั้นๆ
ซึ่งคนที่กระทำวิธีนี้มีความผิดปกติหรือมีบุคลิกที่ผิดจากคนทั่วไป
โดยส่วนใหญ่ผู้ที่ก่อเหตุหลังจากที่เขาฆ่าหั่นศพ
คนพวกนี้ไม่ได้มีความรู้สึกผิดไปกับสิ่งที่ทำลงไป และไม่รู้สึกเสียใจ
ดังที่นายชาญวิทย์ให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจย่างไม่สะทกสะท้านไม่รู้สึกผิดแต่อย่างใด
หากพิจารณาตามแนวทฤษฎีอาชญาวิทยาแล้ว นายชาญวิทย์
หรือดอน วงศ์สหาก มิใช่มาตกรโรคจิตที่เสพติดการฆ่าคนแต่อย่างใด เพราะเขามิได้ฆ่าเหตุเพราะว่าเขาชื่นชอบในการฆ่า
หรือไม่ได้ฆ่าเพราะเป็นผู้ป่วยทางจิตที่ไม่รู้ตัวว่าตนเองได้กระทำอะไรลงไป ในกรณีนี้นายชาญวิทย์ได้วางแผนและตระเตรียมการณ์ทุกอย่างไว้ล่วงหน้าเป็นเวลานานจึงไม่อาจกล่าวได้ว่าเขาเป็นผู้ป่วยทางจิต
แต่หากมองในมุมมองของอาชญาวิทยาอาจถือว่า นายชาญวิทย์เป็นบุคคลที่มีบุคลิกภาพต่อต้านสังคม
(Antisocial Personality Disorder หรือ ASPD) ซึ่งเป็นความผิดปกติทางจิตรูปแบบหนึ่งทำให้บุคคลนั้นมีนิสัยแข็งกระด้าง
ก้าวร้าว ไม่เคารพในสิทธิของผู้อื่นและมีแนวโน้มที่จะใช้ความรุนแรง โดยผู้ที่มีบุคลิกภาพต่อต้านสังคมมักไม่รู้สึกเห็นอกเห็นใจของผู้อื่น
ยึดถือความพึงพอใจของตัวเองเป็นหลัก
และมักไม่พอใจเมื่อต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบที่ขัดแย้งกับความต้องการของตน
๐ บทความวันนี้เป็นการเขียนในมุมมองของอาชญาวิทยา หากมีความบกพร่องประการใดผู้เขียนขอน้อมรับคำติชมเพื่อปรับปรุงแก้ไขต่อไป
และหากแม้บทความนี้ยังประโยชน์แก่ผู้ใด ผู้เขียนมอบความดีความชอบนั้นให้แก่
คณาจารย์ในคณะสังคมศาสตร์ สาขาอาชญาวิทยาและการบังคับใช้กฎหมาย
โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ผู้ประสาทความรู้ในศาสตร์ด้านนี้ให้แก่ผู้เขียน
ขอบุญกุศลนั้นได้บังเกิดแก่ท่านทั้งหลายเทอญ
ด้วยจิตคารวะ “ณัชกานต์”
https://thethaiger.com/th/news/675830/
บทสัมภาษณ์จาก https://ch3plus.com/news/crime/middaynews/313780
พ.ต.ท.ดร.เสกสัณ เครือคำ,
อาชญากรรม อาชญาวิทยา และงานยุติธรรมทางอาญา,
เพชรเกษมการพิมพ์ https://www.nationtv.tv/news/378488923