มาตรา ๒๘ บุคคลเหล่านี้มีอำนาจฟ้องคดีอาญาต่อศาล
(๑) พนักงานอัยการ
พนักงานอัยการ ตามมาตรา ๒ (๕) ได้นิยามความหมายเอาไว้ว่า หมายความถึง เจ้าพนักงานผู้ที่มีหน้าที่ฟ้องผู้ต้องหาต่อศาล ทั้งนี้จะเป็นข้าราชการในกรมอัยการ (ปัจจุบันคือ สำนักงานอัยการสูงสุด) หรือเจ้าพนักงานอื่นผู้มีอำนาจเช่นนั้น
*** พนักงานอัยการฟ้องคดีแทนต้องมีการสอบสวนโดยชอบด้วยกฎหมายก่อน
ส่วนกรณีที่ผู้เสียหายฟ้องคดีเองนั้น ไม่จำเป็นต้องมีการสอบสวนความผิดนั้นมาก่อน เพราะศาลต้องไต่สวนมูลฟ้อง ตามมาตรา ๑๖๒ ก่อนอยู่แล้ว
และถ้ามีผู้เสียหายหลายคนผู้เสียหายคนหนึ่งฟ้องคดีแล้ว ผู้เสียหายคนอื่นก็ยังมีสิทธิฟ้องผู้กระทำผิดได้อีก
เจ้าพนักงานอื่น ในมาตรา ๒ (๕) หมายความถึง เจ้าพนักงานอื่นที่มีอำนาจฟ้องผู้ต้องหาต่อศาล ซึ่งต้องขึ้นอยุ่กับบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติไว้เป็นพิเศษให้เจ้าพนักงานซึ่งมีอำนาจฟ้องผู้ต้องหาต่อศาลได้ เช่น พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค มาตรา ๓๙ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๓๙ วรรคสอง ดังนั้น เจ้าหน้าที่ผู้คุ้มครองผู้บริโภคที่คณะกรรมการแต่งตั้งขึ้นตามกฎหมายพิเศษฉบับนี้ถือได้ว่าเป็น เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจเช่นนั้น และย่อมมีฐานะเป็นพนักงานอัยการ
ในอีกกรณีหนึ่งคือ การฟ้องการสัญญาประกันตัวผู้ต้องหา ตาม มาตรา ๑๐๖ และมาตรา ๑๑๓ นั้น เมื่อผู้ประกันผิดสัญญาประกันกับพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการแล้วแต่กรณี ย่อมมีอำนาจฟ้องบังคับตามสัญญาประกันได้ แม้ตำแหน่งนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการจะไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลก็ตาม
ฎีกาที่ ๗๓๐/๒๕๔๔
แม้พนักงานสอบสวนจะไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล
แต่ก็เป็นบุคคลธรรมดาซึ่งโดยตำแหน่งหน้าที่ราชการอันกฎหมายกำหนดไว้ให้มีอำนาจทำสัญญาประกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 106 และ มาตรา 113 ฉะนั้น
จึงย่อมมีอำนาจที่จะฟ้องขอให้บังคับตามสัญญาประกันในฐานะเจ้าพนักงานตามอำนาจแห่งหน้าที่โดยชื่อตำแหน่งหน้าที่ของตน
ดังนี้
เมื่อจำเลยทำสัญญาประกันตัวผู้ต้องหาไปจากการควบคุมตัวของพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรบ.
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 112และจำเลยผิดสัญญาประกันดังกล่าว
พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธร บ. ย่อมมีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยตามสัญญาประกันได้
กรมตำรวจไม่ใช่พนักงานสอบสวนและมิได้เป็นคู่สัญญากับจำเลย
จะฟ้องเองหรือมอบอำนาจให้ฟ้องหาได้ไม่
จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ในเรื่องจำเลยทำสัญญาประกันโดยไม่ได้รับความยินยอมจากภริยา
การที่ศาลอุทธรณ์ภาค
8หยิบยกปัญหาข้อนี้ตามที่จำเลยอุทธรณ์ขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการไม่ชอบถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค
8
ทั้งปัญหาเกี่ยวกับการให้ความยินยอมก็ไม่ใช่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา
249 วรรคหนึ่งและวรรคสอง
(๒) ผู้เสียหาย
ผู้เสียหายที่มีอำนาจฟ้องคดีอาญาคือ "ผู้เสียหาย" โดยตรงและบุคคลผู้มีอำนาจจัดการแทนตามมาตรา ๔, ๕ และ ๖ ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา ๒ (๔) โดยมาตรา ๓ (๒) บัญญัติให้บุคคลดังระบุไว้ในมาตรา ๔, ๕ และ ๖ มีอำนาจ เป็นโจทก์ฟ่องคดีอาญา หรือเข้าร่วมเป็นโจทก์ กับพนักงานอัยการ และมาตรา ๓ (๓) ยังบัญญัติให้มีอำนาจ ฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาด้วย
*** ผู้เยาว์และผู้ไร้ความสามารถฟ้องคดีอาญาได้หรือไม่
ฎีกาที่ ๕๖๓/๒๕๑๗
ผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ
โดยบิดาให้ความยินยอมนั้นมิได้เป็นไปตามบทบังคับอันว่าด้วยความสามารถของบุคคลตามกฎหมาย
เพราะในคดีอาญานั้นผู้เยาว์จะเข้าร่วมเป็นโจทก์ได้ต้องกระทำโดยผู้แทน
ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 3,5 และ 6
@@@ จะเห็นว่า เมื่อมาตรา ๕ และ ๖ ได้บัญญัติกำหนดผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เยาว์และผู้ไร้ความสามารถไว้โดยเฉพาะแล้ว ดังนั้น ผู้เยาว์แม้ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก็ไม่สามารถยื่นฟ้องคดีอาญาหรือเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการตามมาตรา ๓๐ ได้
** ดังนั้น แม้นมีการฟ้องคดีขึ้นมาศาลก็ชอบที่จะสั่งให้แก้ไขข้อบกพร่องในเรื่องความสามารถในการดำเนินคดีได้ เว้นแต่จะเป็นกรณีที่ไม่จำเป้นเพราะไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างใด
มาตรา
๓๐ คดีอาญาใดซึ่งพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในระยะใดระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนั้นก็ได้
*** ผู้เสียหายสามารถขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้ทุกคดีที่เค้าเสียหาย และอำนาจฟ้องของพนักงานอัยการต้องชอบด้วยกฎหมายด้วย โจทก์ร่วมจึงจะขอเข้าเป็นโจทก์ได้ ถ้าคำฟ้องไม่ชอบคำร้องขอย่อมตกไป แต่ถ้าเป็นพนักงานอัยการจะเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้คดีนั้นต้องเป็นคดีอาญาแผ่นดินเท่านั้น
มาตรา
๓๑ คดีอาญาที่มิใช่ความผิดต่อส่วนตัวซึ่งผู้เสียหายยื่นฟ้องแล้วพนักงานอัยการจะยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในระยะใดก่อนคดีเสร็จเด็ดขาดก็ได้
*** คดีที่พนักงานอัยการจะขอเข้าร่วมเป็นโจทก์นั้นต้องเป็นคดีอาญาแผ่นดิน จะขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีความผิดต่อส่วนตัวไม่ได้
แต่หากเป็นโจทก์ฟ้องคดีแทนนั้นย่อมทำได้โดยต้องมีการร้องทุกข์ตามกฎหมายเสียก่อน ในคดีความผิดต่อส่วนตัวที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์แล้วภายหลังผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์
อัยการจะดำเนินคดีต่อไปไม่ได้ต้องสั่งยุติการดำเนินคดี หรือถ้ามีการดำเนินคดีในชั้นศาล
หรือมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดก็ต้องสั่งยุติการดำเนินคดีเช่นกัน
มาตรา
๓๒ เมื่อพนักงานอัยการและผู้เสียหายเป็นโจทก์ร่วมกับถ้าพนักงานอัยการเห็นว่าผู้เสียหายจะกระทำให้คดีของอัยการเสียหาย
โดยกระทำหรือละเว้นกระทำการใดๆ ในกระบวนพิจารณาพนักงานอัยการมีอำนาจร้องต่อศาลให้สั่งผู้เสียหายกระทำหรือละเว้นกระทำการนั้นๆ
ได้
***มาตรา กฎหมายให้อำนาจในการห้ามมิให้ผู้เสียหายกระทำการใดๆ
ที่อาจทำให้คดีของพนักงานอัยการเสียหาย เฉพาะอัยการเท่านั้น
แต่มิได้ให้อำนาจเช่นว่านี้แก่ผู้เสียหายด้วย
มาตรา ๓๓ มาตรา
๓๒ เมื่อพนักงานอัยการและผู้เสียหายเป็นโจทก์ร่วมกับถ้าพนักงานอัยการเห็นว่าผู้เสียหายจะกระทำให้คดีของอัยการเสียหาย
โดยกระทำหรือละเว้นกระทำการใดๆ ในกระบวนพิจารณาพนักงานอัยการมีอำนาจร้องต่อศาลให้สั่งผู้เสียหายกระทำหรือละเว้นกระทำการนั้นๆ
ได้
***มาตรา ๓๒ กฎหมายให้อำนาจในการห้ามมิให้ผู้เสียหายกระทำการใดๆ
ที่อาจทำให้คดีของพนักงานอัยการเสียหาย เฉพาะอัยการเท่านั้น
แต่มิได้ให้อำนาจเช่นว่านี้แก่ผู้เสียหายด้วย
มาตรา ๓๓ คดีอาญาเรื่องเดียวกันซึ่งทั้งพนักงานอัยการและผู้เสียหายต่างได้ยื่นฟ้องในศาลชั้นต้นศาลเดียวกันหรือต่างศาลกัน
ศาลนั้นๆ มีอำนาจสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน เมื่อศาลเห็นชอบโดยพลการหรือโดยโจทก์ยื่นคำร้องในระยะใดก่อนมีคำพิพากษา
แต่ทว่าจะมีคำสั่งเช่นนั้นไม่ได้ นอกจากจะได้รับความยินยอมของศาลอื่นนั้นก่อน
***มาตรา การรวมคดีพิจารณา เมื่อรวมแล้วการฟังพยานหลักฐานต่างๆ
จะต้องฟังทุกสำนวนรวมกันจะฟังว่าเป็นของโจทก์สำนวนนั้นสำนวนนี้ไม่ได้ แม้ว่าโจทก์อีกคนหนึ่งจะไม่ได้อ้างพยานหลักฐานนั้นก็ตาม ศาลนั้นๆ มีอำนาจสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน เมื่อศาลเห็นชอบโดยพลการหรือโดยโจทก์ยื่นคำร้องในระยะใดก่อนมีคำพิพากษา
แต่ทว่าจะมีคำสั่งเช่นนั้นไม่ได้ นอกจากจะได้รับความยินยอมของศาลอื่นนั้นก่อน
***มาตรา การรวมคดีพิจารณา เมื่อรวมแล้วการฟังพยานหลักฐานต่างๆ
จะต้องฟังทุกสำนวนรวมกันจะฟังว่าเป็นของโจทก์สำนวนนั้นสำนวนนี้ไม่ได้ แม้ว่าโจทก์อีกคนหนึ่งจะไม่ได้อ้างพยานหลักฐานนั้นก็ตาม
@@@ จะเห็นได้ว่า อำนาจฟ้องของพนักงานอัยการและผู้เสียหายตามมาตรา ๒๘ เป็นอำนาจของพนักงานอัยการและอำนาจของผู้เสียหายแยกเป็นอิสระจากกัน โดยจะพิจารณาได้จากมาตรา ๓๓ "...คดีอาญาเรื่องเดียวกันซึ่งทั้งพนักงานอัยการและผู้เสียหายต่างได้ยื่นฟ้องในศาลชั้นต้นศาลเดียวกันหรือต่างศาลกัน..." และมาตรา ๓๔ ยังรับรองสิทธิของผู้เสียหายในกรณีที่พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องคดีด้วยว่า
มาตรา ๓๔ คำสั่งไม่ฟ้องคดีหาตัดสิทธิผู้เสียหายฟ้องคดีเองโดยชอบไม่
ดังนั้น อำนาจฟ้องคดีของพนักงานอัยการกับอำนาจของผู้เสียหายจึงแยกจากกัน จะนำหลักเรื่องการฟ้องซ้อน ตาม วิ.แพ่ง มาตรา ๑๗๓ วรรคสอง (๑) ประกอบ วิ.อาญา มาตรา ๑๕ มาบังคับใช้ไม่ได้
ในกรณีที่มีผู้เสียหายหลายคน บางคนถึงแก่ความตาย บางคนได้รับอันตรายสาหัส หรือบางคนได้รับอันตรายแก่กาย ในกรณีเช่นนี้ แม้ความผิดกรรมเดียว และผู้เสียหายคนใดคนหนึ่งได้เป็นดจทก์ฟ้องจำเลยผู้กระทำผิดไปแล้ว ก็ไม่ตัดสิทธิผู้เสียหายคนอื่นๆที่จะยื่นฟ้องจำเลยในคดีเรื่องเดียวกันนั้นอีก เพราะ วิ.อาญา ไม่ได้บัญัติห้ามผู้เสียหายคนอื่นฟ้องผู้กระทำผิดอีก เพราะผู้เสียหายซึ่งเป็นโจทก์ในคดีหลังเป้นคนละคนกับผู้เสียหายซึ่งเป็นโจทก์ในคดีแรก
By ณัชกานต์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น